หลังจากที่ไม่ได้ไปเที่ยวประเทศรัสเซียมานาน ครั้งล่าสุดที่ไปมาก็คือตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 เพราะเปลี่ยนงานประจำในต้นปี 2019 จึงไม่ค่อยมีเวลาว่างและวันลาพักร้อน พอผ่านการทดลองงานและมีวันลาพักร้อนแล้ว ก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินเพื่อไปรัสเซียในช่วงเดือนเมษายน 2020 กดตั๋วเครื่องบินตรงไป-กลับของสายการบินไทยราคาโปรโมชั่น ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2019 พอใกล้จะออกเดินทาง COVID-19 ก็ดันมาระบาดเสียงั้น ตอนนั้นลุ้นมากว่าจะไปได้ไหม ติดตามข่าวสาร ดูยอดผู้ติดเชื้อทุกวัน เห็นยอดผู้ติดเชื้อในรัสเซียน้อยกว่าประเทศไทยมาก ตอนนั้นยังอยากจะไปนะ 555 พอประมาณ 1 เดือน ก่อนวันเดินทาง รัสเซียก็ประกาศปิดประเทศ ! โอเค ทำใจ ไม่ไปก็ไม่ไป ทีนี้ก็ยาวมาหลายปีเลย พอ COVID-19 เริ่มดีขึ้น ก็ดันมามีปัญหาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เสียอีก จึงเฝ้าดูสถานการณ์มาจนถึงปี 2024 สถานการณ์สงครามของรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังไม่มีวีแววจะจบสักที แต่คนมันอยากเที่ยวอะนะ เข้าไปแฝงตัวอยู่ในกลุ่ม FB ท่องเที่ยวรัสเซีย ก็เห็นคนไทยไปเที่ยว ลงรูปกันฉ่ำ ยังกับเหตุการณ์เป็นปกติ ไม่ได้น่าหวาดกลัวเหมือนที่เป็นข่าว ก็เลยทักไปถามเพื่อนชาวรัสเซียว่าสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ไปเที่ยวรัสเซียได้ไหม? เที่ยวรัสเซียช่วงนี้จะปลอดภัยไหม? เพื่อนคนหนึ่งอยู่ใกล้ๆเมืองมอสโก (Moscow) ก็บอกว่ามาเที่ยวได้ ที่นี่ยังใช้ชีวิตกันตามปกติ อีกอย่างเมืองมอสโกอยู่หากจากพื้นที่ที่มีปัญหา และเป็นเมืองหลวง การดูแลความปลอดภัย หรือคุ้มกันดีกว่าเมืองอื่นๆอยู่แล้ว ส่วนเพื่อนอีกคนอยู่ที่เมืองโวโรเนส (Voronezh) ซึ่งอยู่ห่างกับประเทศยูเครน ประมาณ 1,000 กิโลเมตรนิดๆ ก็บอกว่าถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะยังไม่มาเที่ยวรัสเซียในเวลานี้!! เอาไงละทีนี้เสียงแตก! ก็เลยยังคงไม่ได้ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบิน ยังคงเฝ้าดูสถานการณ์อยู่เรื่อยๆ ข่าวคราวต่างๆเกี่ยวกับสงครามก็มาอยู่เรื่อยๆ สมาชิกในกลุ่ม FB ท่องเที่ยวรัสเซีย ก็ยังเที่ยวกันฉ่ำ ลงรูปกันเรื่อยๆ จริงๆ อยากไปเที่ยวรัสเซียในทุกๆ ฤดูกาล แต่จะไล่ไต่ระดับอุณหภูมิไป คือครั้งแรกที่ไปคือเดือนกรกฏาคม ร้อนแบบเมืองไทยเลย แต่ได้เที่ยวช่วงพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก ครั้งที่ 2 ไปช่วงเดือนตุลาคม อันนี้ใบไม้เปลี่ยนสีอากาศหนาวกำลังดีปีที่ไปคืออากาศยังไม่ต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส ครั้งที่ 3 จองตั๋วไปช่วงเดือนเมษายน แต่ไม่ได้ไปเพราะ COVID-19 รัสเซียประกาศปิดประเทศเสียก่อน พอดูตารางงานและวันว่างแล้วก็คิดว่าถ้าสุดท้ายแล้วตัดสินใจไปรัสเซีย ก็คงจะไปในช่วงเดือนตุลาคม อีกครั้งละกัน เพราะชอบบรรยากาศช่วงใบไม้เปลี่ยนสี อากาศยังหนาวไม่มาก และท้ายที่สุดหลังจากเฝ้าดูเหตุการณ์มาจนเหลือเวลาประมาณ 2 เดือน สุดท้าย ใกล้เข้ามา เพราะวางแผนไว้ว่าถ้าไปรัสเซียจะไปช่วงวันที่ 12 – 20 ตุลาคม 2024 ก็เลยตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ของสายการบินไชน่าอีสเทิร์นแอร์ไลน์ ในราคา 19,000 นิดๆ จาก Trip.com ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ แวะเปลี่ยนเครื่องที่จีนไม่นานมากทั้งขาไป-กลับ (4-6 ชั่วโมง) ไปถึงมอสโก (Moscow) และกลับถึงประเทศไทย ไม่ค่ำ และยังได้น้ำหนักกระเป๋า 23 กิโลกรัม ทั้งขาไปและขากลับ
อย่างที่ทราบกันว่าตั้งแต่มีสงครามกันระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นั้น ทำให้สินค้าและบริการ หลายๆอย่าง ของชาติตะวันตก ทั้งยุโรป อเมริกา ทำการแบนประเทศรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์การจองที่พักที่เราคุ้นเคย เช่น Agoda, Trip, Hotel เป็นต้น รวมทั้งบัตรเครดิต VISA, Mastercard และอื่นๆ ไม่สามารถให้บริการได้ เพื่อนชาวรัสเซียจึงแนะนำเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันที่ใช้ได้ในการจองที่พัก การเดินทาง และแผนที่ ผมจึงจองที่พักจาก Ostrovok.ru เพราะสามารถใช้บัตรเครดิตจากประเทศไทยในการชำระค่าใช้จ่ายได้ ผมจะชอบพัก Hostel เพราะค่าใช้จ่ายไม่แพง และได้มีเพื่อนใหม่ๆ ด้วย ส่วนการซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ ผมซื้อจาก Allianz-assistance.co.th ที่ยังให้บริการประกันเดินทางไปยังประเทศรัสเซียอยู่ ซึ่งหลายๆบริษัทประกันไม่ให้บริการสำหรับการเดินทางไปประเทศรัสเซียแล้ว ในส่วนของการแลกเงิน ผมใช้บริการของร้าน OH! RICH ต้องจองล่วงหน้าประมาณ 1 วัน มีบริการจองเงินทางไลน์และเข้าไปรับที่หน้าร้านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปรอคิว เพราะมีสาขาอยู่ที่ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต ใกล้ที่พักผมพอดี ผมแลกไป 50,000 RUB ได้มาในเรท 0.38 บาท (09/10/24) คิดเป็นเงินไทยประมาณ 19,000 บาท พอดี หลังจากวันนั้นเรทก็ตกมาเรื่อยๆ 555 ผมเตรียมไปเฉพาะเงิน RUB และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าห้องพัก ค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศ ก็จะพยายามจองจากเว็บไซต์ที่ใช้บัตรเครดิตจากประเทศไทยชำระได้ สำหรับค่าที่พักบางที่จากเว็บไซต์ Ostrovok ก็ให้ไปจ่ายหน้างานตอนเช็คอินเท่านั้น แต่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ผมก็ชำระกับบัตรเครดิตไปแล้ว ก็เลยประเมินคร่าวๆว่า 50,000 RUB ก็น่าจะเหลือๆ ร้าน OH! RICH ให้มาเป็นแบงค์ย่อย ฉบับละ 1,000 RUB ก็ดีหน่อยจะได้ใช้จ่ายได้ง่ายหน่อย พอใกล้วันที่จะต้องเดินทาง ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะห่างหายจากการไปรัสเซียมาเสียนาน และสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก็ไม่มีวี่แววว่าจะสงบ พอใกล้ถึงวันเดินทางประมาณ 3 วัน ก็ได้รับอีเมลล์จาก Hostel ที่จองไว้แถวๆ สถานี Khovrino ว่าไม่สามารถเช็คอินให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ รับเฉพาะชาวรัสเซียเท่านั้นให้เราไปกดยกเลิกการจองแล้วขอเงินคืน! …. นี่ยังโชคดีที่ทาง Hostel ส่งอีเมลล์มาแจ้งก่อนและยังไม่เลยกำหนดขอเงินคืนได้ หลังจากนั้นผมก็ส่งข้อความไปบอกเพื่อนว่าทาง Hostel ที่จองไว้ไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผมจึงต้องหาที่พักใหม่ แต่ยังคงเป็นที่ใกล้ๆ สถานี Khovrino ก็ไม่มี Hostel ไหนอีก ก็เลยตัดสินใจจองโรงแรมแถวๆนั้น ชื่อโรงแรม Satelinn Moscow เพื่อให้ได้ที่พักสำหรับคืนแรกก่อน ไม่ไกล Metro สถานี Khovrino มากนัก เป็นโรงแรม 3 ดาว ตกราคาประมาณ 2,000 บาท ต่อคืน รวมอาหารเช้า หลังจากกดจองไปแล้ว เพื่อความแน่ใจก็อีเมลล์ไปหาทางโรงแรมว่ารับนักท่องเที่ยวต่างชาติและลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือการลงทะเบียนถิ่นที่อยู่ (Arrival Notification of Foreign Citizen to the place of Destination) ให้ได้ใช่ไหม? ทางโรงแรมก็ตอบกลับมาว่ารับนักท่องเที่ยวและลงทะเบียนให้ได้ ก็ทำให้โล่งใจไประดับหนึ่ง ปกติทางรัสเซียจะให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลงทะเบียนเมื่อเข้ามายังประเทศรัสเซียภายใน 24 ชั่วโมง แต่จากข้อมูลที่ได้จากการค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ก็ยังไม่ชัดเจนมานัก เช่นบางคนก็บอกว่าถ้าพักอยู่ในเมืองนั้นๆ ไม่เกิน 7 วันทำการ ก็ไม่ต้องลงทะเบียน บางคนก็บอกว่าจะต้องลงทะเบียนภายใน 24 ชั่วโมงที่มาถึง การดำเนินการก็คือให้ทางโรงแรม หรือ ที่พักนั้นๆ หรือ เจ้าของบ้านที่เราไปพักด้วย ดำเนินการให้ แต่บางครั้งพวกที่พักราคาถูกเช่น Hostel หรือ Apartment บางแห่งก็ไม่ดำเนินการให้ หรืออาจจะงงๆว่าต้องลงทะเบียนด้วยหรือ? หรืออาจจะกระบวนการยุ่งยากวุ่นวาย ก็จะหลบๆเลี่ยงๆ แต่หากไม่ได้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวในประเทศรัสเซีย จะเกิดอะไรขึ้น? ผมก็ไม่ทราบจริงๆ 555 แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ในปัจจุบัน จึงอยากจะดำเนินการให้ถูกต้องจะได้ไม่ต้องมามีปัญหาในภายหลัง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าทางรัสเซียจะเข้มงวดมากน้อยแค่ไหน เพราะไม่ได้มารัสเซียนานแล้วตั้งแต่ปี 2018 ความจริงผมเองก็มีประสบการณ์เรื่องการไม่ได้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวมาแล้วเมื่อตอนที่มาเที่ยวประเทศรัสเซียครั้งแรกในปี 2017 ครั้งนั้น ผมเดินทางจากเมืองไทย ไป เมืองเซนต์ปีเตอส์เบิร์ก (Saint Petersburg) พอถึงที่พักซึ่งเป็น Hostel ผมก็แจ้งเจ้าหน้าที่ Hostel ตอนที่เข้าไปเช็คอินว่าให้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวให้ด้วยพร้อมกับให้เจ้าหน้าที่ดูเอกสารหน้าตาของใบลงทะเบียนนักท่องเที่ยวที่ผมปริ้นท์ถือติดมือมาด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ตอบ “โอเค” แต่ครั้งนั้นผมก็ไม่ได้ขอเอกสารใดๆจาก Hostel แรกที่ผมเข้าพักด้วย เพราะคิดว่าแค่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวและข้อมูลคงอยู่ในระบบของทางการรัสเซียแล้ว แต่พอผมเดินทางจาก St. Petersburg ไปยัง Moscow และจะเช็คอินเข้าพักที่ Hostel ปรากฏว่าทาง Hostel แจ้งว่าไม่สามารถให้ผมเช็คอินได้ เนื่องจากผมมารัสเซียเมื่อ 3 วันที่แล้ว และไม่ได้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยว ทางผมก็แจ้งไปว่าผมบอกให้ทาง Hostel ที่ผมเข้าพักใน St. Petersburg ทำการลงทะเบียนให้แล้วนะ? แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเขาเช็คดูในระบบแล้วว่าผมยังไม่มีการลงทะเบียนนักท่องเที่ยว และขอเบอร์ติดต่อของทาง Hostel ที่ผมพักใน St. Petersburg แล้วเขาก็โทรคุยกันครู่หนึ่ง สรุปก็คือผมยังไม่ได้ลงทะเบียนจึงไม่สามารถเช็คอินเข้าที่นี่ได้ ผมก็เหวอกินไปเลย ใกล้ค่ำแล้วด้วย เพิ่งมารัสเซียครั้งแรกด้วย ภาษาอังกฤษก็ไม่เก่งด้วย เอาไงดี ตอนนั้นก็ส่งข้อความหาเพื่อนแจ้งว่ามีปัญหา ทางเพื่อนผมเลยขอคุยกับเจ้าหน้าที่พักหนึ่ง ผลสรุปก็คือผมไม่สามารถเช็คอินเข้าที่นั่นได้เพราะผมไม่ได้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยว มันเป็นเรื่องของกฎระเบียบทางราชการ ทาง Hostel ไม่อยากจะมีปัญหาหากมีการตรวจสอบขึ้นมา และทางเพื่อนผมขอให้ทางเจ้าหน้าที่ Hostel ท่านนั้น แนะนำที่พักอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆนั้นให้ผมหน่อย แล้วผมก็ไปตามแผนที่ที่เจ้าหน้าที่ท่านนั้นวาดให้ ไม่ไกลมาก และโชคดีที่ผมสามารถเช็คอินเข้าพักที่นั่นได้ และตอนที่ผมเดินทางกลับออกจากรัสเซีย ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้เรียกดูใบลงทะเบียนนักท่องเที่ยวด้วยซ้ำ และในปี 2018 ผมก็ไปเที่ยวประเทศรัสเซียอีกครั้ง และพัก Hostel เช่นเดิม จำได้ว่าก็ไม่ได้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวเหมือนเดิม เพราะจากข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่บางคนบอกว่าถ้าพักอยู่ในเมืองนั้นๆ ไม่เกิน 7 วันทำการ ก็ไม่ต้องลงทะเบียน ผมนับแล้วก็ไม่เกิน 7 วันทำการ และผมก็ไปเที่ยวเมืองอื่นด้วย ก็เลยไม่ได้ร้องขอให้ทาง Hostel ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวให้ ตอนเดินทางกลับออกจากรัสเซียก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร 555 และครั้งนี้ ปี 2024 (พ.ศ. 2567) เป็นครั้งที่ 3 ที่ผมไปเที่ยวรัสเซีย ซึ่งทางรัสเซียกำลังมีปัญหาระหว่างรัสเซีย-ยูเครน กันอยู่ ผมจึงอยากจะดำเนินการให้ถูกต้องจะได้ไม่ต้องมามีปัญหาในภายหลัง เพราะผมก็ไม่รู้ว่าทางรัสเซียจะเข้มงวดมากน้อยแค่ไหนแล้ว
มารัสเซียคราวนี้ผมเลือกพักแถว Metro สถานี Khovrino เพราะเพื่อนใหม่ชาวรัสเซีย เป็นคนแนะนำมาว่าน่าจะสะดวกเวลาผมเดินทาง เพราะเป็นจุดขึ้น-ลงรถบัส ของ Aeroexpress ที่ให้บริการรับ-ส่ง ระหว่างสนามบิน SVO – รถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro) ซึ่งสถานี Khovrino เป็นสายสีเขียว (หมายเลข 2) จะเป็นสายที่วิ่งตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองมอสโก มากที่สุด จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยาก
ตัดภาพมาที่วันเดินทาง 12 ตุลาคม 2567 เครื่องบินออกเดินทางจาก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตอนเวลา 00:40 น. และถึง ท่าอากาศยานนานาชาติเป่ย์จิงต้าซิง (ปักกิ่ง) ในเวลา 06:35 น. ได้ลงมาเดินยืดเส้นยืดสายอีก 5ชั่วโมง 20 นาที เพื่อเปลี่ยนเครื่องไปยังมอสโก โดยเครื่องบินได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติเป่ย์จิงต้าซิง ตอนเวลา 11:55 น. และเดินทางถึงมอสโก ที่ท่าอากาศยานเชอเรมิททิวโว (Sheremetyevo : SVO) อาคาร C ตอนเวลา 15:25 น รวมเวลาเดินทางประมาณ 18.45 ชั่วโมง สำหรับผมแล้วถือว่ากำลังดี ไม่นานเกินไป พอถึงมอสโก ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก แค่ถามว่าเป็นนักท่องเที่ยวใช่ไหม? มีวีซ่าไหม? ผมก็บอกว่ารัสเซียฟรีวีซ่าสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางจากประเทศไทย เจ้าหน้าที่ก็ตรวจดูหนังสือเดินทางของผม ส่องๆ มองๆ แล้วก็ประทับตราลงในหนังสือเดินทางของผมและปริ้นท์เอกสารเข้ามืองใบเล็กๆ ให้เราเซ็นต์ชื่อเสร็จแล้วเจ้าหน้าที่จะประทับตราและฉีกเอกสารหนังสือขาออกส่งให้เราเก็บไว้ อันนี้สำคัญมากเก็บไว้ให้ดี ห้ามหายตลอดการเดินทาง เพื่อไว้แสดงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจดูเมื่อถูกร้องขอ และเก็บไว้ยื่นด่านตรวจคนเข้าเมืองขาออกเมื่อเราเดินทางออกจากรัสเซียเพื่อกลับไทย พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินหาร้านในสนามบินที่ขายสิ่งยังชีพอันดับหนึ่งในต่างแดนก่อนนั่นก็คือซิมการ์ดโทรศัพท์ ผมเลือกที่จะซื้อซิมการ์ดของรัสเซียเลย ไม่ได้โรมมิ่ง หรือซื้อ E-sim ไปก่อน เพราะคิดว่าถ้าใช้ Local Sim น่าจะได้สัญญาณที่ดีกว่า เดินวนไปวนมาก็เจอ 1 ร้านหนึ่งของ sbermobile ราคา 1,100 RUB ถือว่าไม่แพงคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 385 บาท (@0.35) ซึ่งเป็นซิมการ์ดราย 30 วัน เป็นขั้นต่ำ ได้เล่นอินเตอร์เน็ต 90 GB และโทร 1500 นาทีด้วยมั้งถ้าผมจำไม่ผิด เพราะผมไม่ได้สนใจเรื่องโทรเท่าไหร่ สนใจแค่ใช้อินเตอร์เน็ตเท่านั้น
เมื่อได้สิ่งยังชีพอันดับหนึ่งแล้ว ผมก็มาตามลายแทงที่เพื่อนชาวรัศเซียให้ไว้เพื่อตามหาจุดขึ้น รถบัส ของ Aeroexpress เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองมอสโก ซึ่งการเดินทางจากสนามบิน SVO เข้าสู่ตัวเมืองมอสโก มีด้วยกัน 3 ช่องทาง โดยประมาณ
1. เรียกรถ Taxi ผ่านแอปต่างๆ เช่น YandexGo, Sitimobil หรือ Uber
2. โดยรถไฟ Aeroexpress ราคาประมาณ 600 RUB เดินทางจาก Terminals D, E, F ซึ่งผ่านหลายสถานี ยาวไปถึงสถานี Odintsovo
3. โดย Express Bus รถบัส Aeroexpress ราคาประมาณ 350 RUB สามารถเดินมาขึ้นรถที่ป้ายรถข้าง Terminals B, C ได้เลย เป็นรถบัสสีแดงเด่นสังเกตได้ง่าย หมายเลข 1195, 1195D จะมีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วยืนอยู่ใกล้ๆรถ ซึ่งสุดสายจะเป็นสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro) สถานี Khovrino สายสีเขียว (หมายเลข 2)

เพื่อนชาวรัสเซียแนะนำให้ผมเดินทางมาโดยรถบัสเพราะราคาไม่แพง และมีรถออกทุก 10-15 นาที และใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที โดยประมาณ
พอรถบัสมาถึง Metro สถานี Khovrino เพื่อนชาวรัสเซียก็ช่วยบอกทางที่จะเดินไปยังโรงแรมที่ผมจองเอาไว้

อันนี้ก็โชว์สกิลหนุ่มเมืองร้อน ให้ประชาชนเมืองหนาวได้แปลกใจกันสักหน่อย อุณหภูมิตอนนั้นน่าจะต่ำกว่า 10 องศา C แล้วแหละถ้าจำไม่ผิด พร้อมลมพัดแรงๆ พาให้แขนชา 555

เดินลากกระเป๋ามาสัก 10 นาที ก็เจอโรงแรมที่จองไว้ ก็เข้าไป Check In พร้อมแจ้งพนักงานว่าอย่าลืมลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ด้วย พนักงานตอนรับของโรงแรมก็แจ้งว่าจะดำเนินการให้ และจะได้รับเอกสารในวันพรุ่งนี้ตอนที่ Check out หลังจากนั้นผมก็เข้าห้องพัก เพื่อพักผ่อนนิดหน่อย และอาบน้ำ แต่งตัว รื้อกระเป๋าหาของฝาก เพราะคืนนี้มีนัดเพื่อนใหม่ชาวรัสเซียไว้จะเจอกันสักหน่อย เพราะยังไงก็คงจะยังนอนไม่หลับก่อนหรอก จึงบอกเพื่อนว่าถ้าสะดวกก็มาเจอกันได้เลย เรานัดเจอกันตรงสถานี Khovrino จุดจอดรถบัสที่มาจากสนามบิน SVO นั่นแหละครับ เมื่อผมรื้อกระเป๋าหาของฝากได้แล้วก็เดินออกมารอเพื่อนที่จุดนัดหมาย ยืนถือถุงของฝากตรงฝั่งตรงข้าม Shopping Mall
นี่เป็นการเจอหน้ากันครั้งแรกเลยนะ รู้จักกันผ่านเว็บไซต์หาเพื่อนต่างชาติ และก็เป็นเพื่อนรัสเซียผู้ชายคนแรกของผมเลยนะ 555 ชื่อ Arthur (อาเธอร์) ตอนนั้นรู้จักกันมาประมาณสัก 8-9 เดือน ก็คุยแลกเปลี่ยนไอเดียอะไรกันได้เรื่อยเปื่อย ชอบเที่ยวป่าเหมือนกัน ก็เลยคุยกันได้เรื่อยเปื่อย Arthur ก็เคยมาเที่ยวประเทศไทยหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งจะมารู้จักกันตอนที่เขากลับไปรัสเซียแล้ว สักพักเพื่อนผมก็มาถึง แล้วก็พาผมมาหาอะไรกินกันก่อนใน Shopping Mall ฝั่งตรงข้าม มื้อนี้ Arthur เป็นคนเลี้ยง

พอทานเสร็จแล้วตอนนั้นเวลารัสเซียก็ประมาณทุ่มครึ่งแล้ว (เวลาไทยก็น่าจะ 5 ทุ่มกว่าแล้ว) เขาก็ถามผมว่าเหนื่อยไหม? อยากพักผ่อนหรือเปล่า? ผมบอกว่ายังไหวอยู่ กลับโรงแรมไปก็คงยังนอนไม่หลับหรอก Arthur ก็บอกว่าเดี๋ยวจะพาไปเดินที่สวนสาธารณะไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ห่างไปไม่กี่สถานี หากง่วงนอนอยากกลับไปพักผ่อนก็บอกได้เลยนะ เราก็เดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ถ่ายรูปไปบ้างเนื่องจากเป็นเวลากลางคืนแสงไม่สวยก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ อากาศก็ค่อนข้างหนาวแต่ก็ยังมีชาวรัสเซียออกมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะกันเยอะเลย

ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อน Arthur ก็แนะนำให้ผมซื้อบัตรโดยสารแบบเติมเงินที่ใช้สำหรับเดินทางด้วยรถไฟและรถเมล์ จะได้สะดวก เวลาจะกลับประเทศไทยก็มาคืนที่สถานี Khovrino แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าไม่ใช้แล้ว เขาก็จะคืนเงินค่ามัดจำให้

ข้ามมาวันที่ 2 หลังจาก Check out ที่โรงแรมที่ผมพักในคืนแรกแล้ว ผมก็ไม่ลืมที่จะขอ หนังสือที่ทางโรงแรมลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาด้วย หน้าตาเอกสารก็จะเป็นแบบนี้ครับ

อีกด้านหนึ่ง มีลงนามตราประทับ

วันนี้ผมจองที่พักไว้แถวไว้แถวจัตุรัสแดงครับ เป็นโฮสเทล (Hostel) ชื่อ Axel Hostel ผมจองยาวจากวันที่ 13 – 20 ตุลาคม เลยครับ เพราะผมมีแผนจะบินไปเที่ยวยังเมืองคาลีนินกราด (Kaliningrad) สัก 3 วันด้วย จะได้ทิ้งกระเป๋าสัมภาระบางส่วนไว้ที่นี่ไม่ต้องหอบหิ้วไปเยอะ และค่าน้ำหนักกระเป๋าที่ซื้อเพิ่มก็แพงกว่าค่าโฮสเทลอีกครับ พอผมมาถึง Axel Hostel ผมก็ยื่นใบจองพร้อมหนังสือเดินทาง และใบลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้จากที่พักก่อนหน้านี้ให้กับเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่า!! ผม Check In ไม่ได้!! เจ้าหน้าที่ก็สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ ใช้แอปแปลภาษาคุยกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร ผมก็เลยทักส่ง Telegram ไปหา Arthur และส่ง WhatsApp ไปหา Asya (เพื่อนเก่า) ว่าผมมีปัญหาไม่สามารถเช็คอินเข้าที่พักที่จองไว้ได้ Arthur ก็โทรหาผมและขอคุยกับเจ้าหน้าที่โฮลเทล สรุปได้ความว่าเขาไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รับเฉพาะชาวรัสเซียเท่านั้น! ตอนนั้นในใจก็ได้แต่คิดว่า เอาแล้วไง! จะไปพักที่ไหนละทีนี้! ถ้าหาที่พักใหม่แถวๆนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะรับเฉพาะชาวรัสเซียอีกหรือไม่? ถ้าไปพักโรงแรมปกติราคาก็คงหลายพัน หรือจะกลับไปพักที่เดิมดีไหม? ก็ไม่รู้ว่าจะยังมีห้องว่างไหม? นานาคำถามที่ไหลเข้ามาในหัว Arthur ก็ถามมาว่าจะให้เขาช่วยหาที่พักให้ไหมฦ? หรือจะกลับไปที่โรงแรมเดิม? ผมจึงบอกให้ Arthur ช่วยหาที่พักให้ใหม่ เขาก็บอกให้ผมไปหาเขาที่สถานี Bratyslaskaya จะได้ทานอาหารเย็นด้วยกันและเขาจะได้ช่วยหาที่พักใหม่ให้ พร้อมบอกเส้นทางเพื่อให้ผมเดินทางไปหาเขา

เพื่อนเก่าชาวรัสเซียของผมไม่มีใครอยู่ในมอสโกเลยครับ จะมีก็แต่ Asya ที่อยู่ใกล้ที่สุดแต่ก็ไกลจากมอสโกพอสมควรและยังอยู่ระหว่างไปท่องเที่ยวต่างเมืองกับครอบครัวอยู่ ก็มีแต่เพื่อนใหม่ที่เพิ่งเจอตัวเป็นๆกันครั้งแรกเมื่อคืนอย่าง Arthur นี่แหละ ผมจึงเดินทางไปหาเขาตามลายแทงเส้นทางรถไฟใต้ดินที่เขาให้ผมมา พอผมมาถึง สถานี Bratyslaskaya เดินออกจากสถานีก็เจอ Arthur ยืนรอผมอยู่ และเขาก็เชื้อเชิญให้ผมไปพักกับเขาก่อนในคืนนี้และจะช่วยหาที่พักให้ผมในคืนถัดไป ตอนนั้นคือเขาเหมือนคนที่สวรรค์ส่งมาโปรดจริงๆสำหรับผม จึงไม่รีรอที่จะตอบตกลงไปนอนที่อพาร์ทเม้นท์ของเขาก่อน เราจึงเข้าไปซื้อของใน Shopping mall ใกล้ๆสถานีตรงนั้น เพื่อเตรียมอาหารเย็นกัน มอสโกเป็นเมืองหลวงที่มี Shopping mall เยอะมากๆ ทั้งน้อยใหญ่ ผมว่าน่าจะพอๆ หรือมากกว่าในกรุงเทพเสียอีก เราเลือกซื้ออาหารกันพอสมควรเผื่อมื้อเช้าวันพรุ่งนี้ไปด้วย แล้วก็เดินไปที่ที่อพาร์ทเม้นท์ ของ Arthur พอไปถึงที่ห้องผมก็ถามเขาว่าปกติอยู่คนเดียวหรือ? รู้สึกเหงาบ้างไหม? เขาก็ตอบว่าปกติไม่ได้อยู่คนเดียวหรอก บางครั้งแฟนเขาก็มาอยู่ด้วย ก่อนที่ผมจะมาถึงแฟนเขาก็อยู่ด้วยแต่พอผมจะมานอนที่นี่ด้วย ก็เลยบอกให้แฟนเขากลับไปนอนที่อพาร์ทเม้นท์ของเธอ พอผมได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจเขามากๆ และซาบซึ้งน้ำใจของเขาและแฟนเขามากๆ ก็เลยฝากขอบคุณแฟนของเขาด้วย หลังจากที่เราทานอาหารเย็นด้วยกัน Arthur ก็ช่วยผมหาที่พักแห่งใหม่ได้ไม่ไกลจากอพาร์ทเม้นท์ของเขามานัก ทั้งโทรไปสอบถามให้แน่ใจ และจัดการจองให้ผมเสร็จสรรพ เขาจองให้แค่ 1 คืนก่อนและเมื่อเข้าไปพักแล้วหากที่พักโอเคให้ผมบอกเขาอีกทีจะได้จองในวันที่ผมกลับมาจากเมืองคาลีนินกราดให้อีกที โดย Arthur บอกให้ผมฝากสัมภาระที่ไม่ต้องการเอาไปที่เมืองคาลีนินกราด ไว้ที่ห้องของเขาก่อนได้จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจองที่พักเพิ่ม และผมก็ให้ Arthur ช่วยโทรไปเช็คโฮสเทลที่ผมจองไว้ที่เมืองคาลีนินกราดให้ด้วย เพื่อจะได้มั่นใจว่าเมื่อผมไปถึงจะสามารถเช็คอินได้อย่างไม่มีปัญหาเหมือนในวันนี้ ซึ่งทางโฮลเทลก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรขอแค่แสดงหนังสือเดินทางและบัตรผ่านเข้าเมืองอย่างถูกต้อง ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นเยอะ คืนนั้นนั่งคุยกับ Arthur อยู่พักใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวกัน ผมก็ส่ง WhatsApp ไปหา Asya ว่าคืนนี้นอนที่อพาร์ทเม้นท์ของ Arthur ไม่ต้องเป็นห่วง และเขาก็ช่วยหาที่พักสำหรับคืนถัดไปให้แล้วไม่ไกลจากที่นี่มากนักได้แล้ว Asya ก็บอกว่าอย่าดื่มแอลกอฮอล์กันเยอะนะ ดูแลตัวเองดีๆด้วย ฉันไม่เชื่อเพื่อนคุณที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรกหรอกนะ 5555 ก็เลยบอก Asya ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเราไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์กัน แค่ทานอาหารเย็นกัน และถึงแม้ว่าผมจะรู้จักเขามาไม่นาน แต่ผมก็รู้ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลยละ พร้อมกันนี้ผมก็ส่ง WhatsApp ไปหาเพื่อนเก่าที่อยู่เมืองอื่นอีก 2 คน เพื่อบอกเล่าว่าการมารัสเซียทริปนี้ของผมเจอะไรบ้าง

ตัดมาวันรุ่งขึ้นเป็นวันทำงานของ Arthur ซึ่งเขาทำงานแบบ Digital nomad คือทำงานจากที่ไหนก็ได้ที่มีอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาขอหัวหน้าออกไปส่งผมเข้าเช็คอินที่พักใหม่ในช่วงเที่ยง ระหว่างรอเขาทำงานอยู่ผมจัดกระเป๋าแบ่งของส่วนหนึ่งฝากไว้ที่ห้องของ Arthur ส่วนหนึ่งที่จะเอาไปใช้ในที่พักใหม่และที่จะเอาไปใช้ที่เมืองคาลีนินกราดด้วย พอตอนเที่ยง Arthur ก็ออกไปส่งผมที่โฮสเทลที่เขาจองไว้ให้ พอไปถึง Arthur ก็คุยรายละเอียดกับทางเจ้าหน้าที่โฮสเทล (ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ) และชี้แจงรายละเอียดต่างๆให้ผมทราบ รวมทั้งแจ้งว่าทางโฮสเทลจะลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ด้วยภายใน 24 ชั่วโมงที่ผมเข้าพัก และจะได้รับเอกสารในวันถัดไป Arthur กำชับว่า เมื่อผมเช็คเอ้าท์ ในวันพรุ่งนี้อย่าลืมขอเอกสารการลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติกับทางเจ้าหน้าที่ด้วยนะ ผมก็กล่าวขอบคุณ Arthur เป็นอย่างมาก ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไปทำงาน ส่วนผมก็สำรวจที่พัก ห้องพักสะอาด พื้นที่ดูใหม่ และมีห้องครัวห้องส่วนกลางสำหรับทำอาหารและนั่งทานอาหาร ดูทีวี (ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย) และเหมือนกับว่าผมเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียงคนเดียวในโฮสเทลแหล่งนี้ 555 จากนั้นผมก็เตรียมตัวเพื่อออกไปท่องมอสโก พอลงมาจากโฮสเทล ก็พบว่ามีฝนตกลงมาพร้อมกับหิมะ!! ผมนี่โคตรดีใจเลยครับ เป็นหิมะแรกในเดือนตุลาคม! และเป็นหิมะแรกของผมด้วยนะ คือผมยังไม่เคยเจอหิมะมาก่อน ตั้งใจไว้ว่าอยากจะเจอหิมะแรกที่ประเทศรัสเซียเท่านั้นก่อน แต่ใจก็ยังไม่กล้าจะมาเที่ยวรัสเซียในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะหนาๆ อุณภูมิติดลบไปหลายสิบองศาสักที คือยังไม่กล้าที่จะเจอความหนาวขนาดนั้น ก็เลยเที่ยวแบบไล่ไต่ระดับความหนาวมาก่อน เป้าหมายคือสักวันหนึ่งผมจะต้องมาเที่ยวรัสเซียในช่วงฤดูหนาวให้ได้! ขณะเดียวกัน Arthur ก็ส่ง Telegram มาหาบอกว่ามีหิมะตกนะ! คุณโชคดีมากที่ได้เจอ First Snow ของคุณแล้ว ผมก็ตอบกลับไปว่าผมเห็นแล้วและกำลังจะรีบไปแถวจัตุรัสแดง อยากไปชื่นชม My Frist Snow ที่นั่น พอไปถึงจัตุรัสแดง ทั้งฝนและหิมะก็ยังคงตกอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่แน่นหนามากนัก แต่ก็พอให้ผมได้ดื่มด่ำบรยากาศหิมะแรกของผมได้อย่างอิ่มใจ แบบไม่กลัวหนาว กลัวเปียกกันเลยทีเดียว

ผมใช้เวลาชื่นชมหิมะแรกของผมอยู่แถวนั้นนานพอสมควร

ก่อนกลับก็แวะไปที่สถานี Ploschad Revolyutsii ซึ่งมีรูปปั้นประติมากรรมจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พอผมไปถึงสังเกตเห็นว่าคนรัสเซียที่เดินผ่านรูปปั้นน้องหมา ก็จะเอามือไปสัมผัสตรงปากของน้องหมาจนเห็นเนื้อโลหะสีทอง ผมก็ถามเพื่อนชาวรัสเซียบอกว่าเป็นความเชื่อว่าจะโชคดี ผมก็เข้าไปลูบน้องหมาบ้าง อิอิอิ

หลังจากนั้นก็รีบกลับมาโฮสเทลเพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมบินไปเที่ยวติ่งรัสเซียที่ชื่อว่าคาลินินกราด (Kaliningard) เพราะเป็นเมืองเดียวของรัสเซียที่ไม่ได้อยู่ติดแผ่นดินแม่ ซึ่งเดิมชื่อเมืองเคอนิชส์แบร์ค เมืองท่าบัลตีสค์เป็นเมืองท่าแห่งเดียวของประเทศรัสเซียในทะเลบอลติกที่ไม่มีน้ำแข็งในฤดูหนาว โดยมีชายแดนติดกับประเทศโปแลนด์ทางทิศใต้ และติดกับประเทศลิทัวเนียทางทิศตะวันออกและทิศเหนือ มีระยะห่างจากมอสโก 1289 กิโลเมตร มีพื้นที่ทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ที่สุดในรัสเซียคือ เป็นเขตป่าไม้แบบผสมและผลัดใบสลับกับหนองน้ำ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย) ก่อนที่จะมารัสเซียก็ได้สอบถามเพื่อนชาวรัสเซียแล้วว่านักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเที่ยวที่เมืองคาลินินกราดได้ไหม? รัสเซียฟรีวีซ่าสำหรับคนไทยอยู่แล้วถ้าไปเมืองนี้ต้องใช้เอกสารอะไรเพิ่มเติมไหม? และถ้าซื้อซิมการ์ดของรัสเซียนำไปใช้ที่เมืองคาลินินกราดได้ไหม? ก็ได้รับคำตอบจากเพื่อนชาวรัสเซียว่าไปเที่ยวได้ ไม่มีเอกสารอะไรเพิ่มเติม และใช้ซิมการ์ดจากรัสเซียได้เลย จึงเป็นที่มาของทริปนี้ว่าอยากไปเที่ยวติ่งรัสเซียด้วยไหนๆ ก็มาถึงนี้แล้ว บินจากมอสโกไปอีกนิดก็ถึงติ่งรัสเซียแล้ว พอจัดกระเป๋าเสร็จแล้วก็รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องรีบออกเดินทางไปสนามบิน โดโมเดโดโว (Domodedovo : DME) พอเช้ามาก็รีบเช็คเอ้าท์ และขอเอกสารการลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติกับทางโฮสเทล ปรากฏว่าเอกสารยังไม่เสร็จทางเจ้าหน้าที่จะส่งตามไปให้ทางอีเมลล์ และส่งไปที่ WhatsApp ของ Arthur เพื่อนรัสเซียที่จองที่พักให้ผมอีกทางหนึ่ง ผมก็มีความกังวลเล็กๆว่าถ้าไม่มีเอกสารการลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติจากที่นี่ไป ผมจะไปเช็คอินเข้าที่พักที่จองไว้ได้ไหม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงออกเดินทางไปยังสนามบิน DME ซึ่งการเดินทางจากตัวเมืองมอสโก ไปยังสนามบิน DME มีด้วยกัน 3 ช่องทาง โดยประมาณ
1. เรียกรถ Taxi ผ่านแอปต่างๆ เช่น YandexGo, Sitimobil หรือ Uber
2. โดยรถไฟ Aeroexpress ราคาประมาณ 400 RUB เดินทางจาก Verkhnie Kotly MCC station และ Paveletsky railway station จะมีรถไฟออกทุก 30 นาที
3. โดย Express Bus รถบัส Aeroexpress ราคาประมาณ 350 RUB สามารถเดินทางจากสถานี Domodedovskaya (Metro สายสีเขียว หมายเลข 2 ) ทางออกหมายเลข 10 ก็จะเห็นรถบัสสีแดงเด่นสังเกตได้ง่าย หมายเลข 1185 จะมีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วยืนอยู่ใกล้ๆ และมีรถออกทุก 15 นาที และใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที โดยประมาณ

ผมพักอยู่แถว Metro สถานี Bratislavskaya (Metro สายสีเขียวอ่อน หมายเลข 10) ซึ่งต้องไปต่อสายสีเขียว หมายเลข 2 อีก 1 สถานีเพื่อไปยังสถานี Domodedovskaya และเดินออกจากสถานีตรงทางออกหมายเลข 10 จะมีป้ายบอกทางเป็นระยะ

พอเดินออกจากสถานีก็จะเห็นรถ Express Bus สีแดง หมายเลข 1185 จอดเด่นอยู่ ก็เดินเข้าไปต่อคิวขึ้นรถได้เลยครับสุดสายที่สนามบิน DME

พอถึงสนามบินผมก็เข้าไปเช็คอิน ซึ่งผมจองสายการบิน S7 ไว้ ได้มาในราคา 5,000 บาทนิดๆ สัมภาระถือขึ้นเครื่อง 10 ก.ก. ไม่มี สัมภาระใต้ท้องเครื่องเพราะกะว่าจะประหยัดค่าตั๋ว จึงเอาของใช้ที่ไม่จำเป็นฝากไว้ที่ห้องเพื่อนรัสเซียไว้แล้ว พอเช็คอินเสร็จแล้วก็เข้าไปรอข้างในเพื่อรอขึ้นเครื่องตอน 11.00 น. ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.45 ชั่วโมง ผมจะไปถึงติ่งรัสเซียประมาณ 12:45 น. กะว่าน่าจะได้ออกจากสนามบินประมาณบ่ายๆ และเดินทางเข้าตัวเมืองและมีเวลาเดินหาที่พักที่จองไว้ เผื่อว่าจะหายากเพราะผมมีประสบการณ์ในการเดินหาโฮสเทลที่จองไว้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร 555 พอเครื่องบินมาถึงสนามบินยานคราบรอโว (KGD) ระหว่างเดินออกจากเครื่องบินก็ถ่ายป้ายสนามบินไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยว่ามาถึงติ่งรัสเซียเมืองคาลินินกราดแล้วนะ!

แล้วพอเดินเข้าตัวอาคาร ก็เดินตามผู้โดยสารท่านอื่นๆมาเรื่อยๆ ก็มีเจ้าหน้าที่สนามบิน คาดว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาเรียนเชิญให้เข้าไปสัมภาษณ์ มีเจ้าหน้าที่อยู่หลายคน ในใจก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรหรอก คงเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวเลยเรียกตรวจตามปกติ เจ้าหน้าที่ขอดูหนังสือเดินทาง ผมก็ยื่นหนังสือพาสปอร์ตที่แนบหนังสือเข้าประเทศรัสเซียใบเล็กๆที่ได้ตอนตรวจคนเข้าเมืองให้ไปด้วย
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : นักท่องเที่ยว?
ผม : ใช่, นักท่องเที่ยว
เจ้าหน้าที่ คนที่ 1 : พูดรัสเซีย หรือพูดอังกฤษ?
ผม : อังกฤษ
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : มาทำอะไร? มากี่คน?
ผม : มาเที่ยว, มาคนเดียว
เจ้าหน้าที่คนที่ 2 : ขอดูโทรศัพท์หน่อย
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : มีเพื่อน หรือมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ไหม?
ผม : ไม่มีครับ
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : จะอยู่กี่วัน? ขอดูตั๋วเดินทางกลับหน่อย
ผม : 3 วัน (พร้อมยื่นตั๋วเดินทางกลับมอสโก และตั๋วเดินทางกลับกรุงเทพ)
เจ้าหน้าที่คนที่ 2 ที่เขี่ยโทรศัพท์ผมอยู่ หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่คนที่ 1 ด้วยภาษารัสเซีย ซึ่งผมฟังออกแค่คำว่า “ทัวร์ริสท์”
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : คุณรู้ไหมว่าที่นี่เป็นเขตชายแดน เราไม่อยากให้นักท่องเที่ยวเข้ามาที่นี่ ถ้าคุณไปที่อื่นในประเทศรัสเซียเรายินดีต้อนรับแต่ไม่ใช่ที่นี่ คุณจะต้องซื้อตั๋วกลับมอสโกหรือเมืองอื่นๆภายในวันนี้ คุณใช้มือถือของคุณซื้อตั๋วเดี๋ยวนี้เลย
ผม : ….. (ทำหน้าอึ้งๆ อยู่แต่ก็ไม่ได้ดื้อถามอะไรมากนัก) ผมสามารถซื้อตั๋วด้วยเงินสดได้ไหม? (เพราะตอนนั้นคิดว่าถ้าซื้อแบบออนไลน์น่าจะตัดบัตรเครดิตไม่ได้)
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : คุณมีเงินสดอยู่เท่าไหร่? ถึง 10,000 รูเบิล ไหม?
ผม : เปิดกระเป๋าออกมาเอาเงินบางส่วนออกมานับให้จ้าหน้าที่ดู ซึ่งตอนนั้นที่อยู่ในมือประมาณหมื่นกว่ารูเบิล
เจ้าหน้าที่คนที่ 1 : คุณวางกระเป๋าสัมภาระไว้ที่นี่แล้วตามเจ้าหน้าที่อีกท่านออกไปซื้อตั๋ว
ผมจ่ายค่าตั๋วบินกลับมอสโกไปประมาณ 8,457 รูเบิล พอได้ตั๋วมาแล้ว เจ้าหน้าก็ยังคงเก็บตั๋วและหนังสือพาสปอร์ตของผมเอาไว้ และให้ผมนั่งรอตรงบริเวณนั้นก่อนเพื่อรอเวลาเช็คอินของสายการบิน และขึ้นเครื่องตอน 16.05 น. ผมจึงขอตั๋วมาถ่ายรูปส่งไปให้เพื่อนดู และบอกให้เขาช่วยจองที่พักที่เดิมให้ผมยาวไปจนถึงกำหนดกลับไทยเลย

ระหว่างนั่งรอเวลา ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่เรียกผู้โดยสารทุกคนที่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาสัมภาษณ์ตลอด ก็เลยไม่แน่ใจว่านอกจากผมแล้วจะมีใครอีกกี่คนที่ต้องกลับในวันนั้น

พอถึงเวลาเช็คอินของสายการบินเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งก็พาผมเข้าไปต่อคิวเช็คอิน ผมก็ได้รู้ว่ามีผู้ชายอีกคนหนึ่งหน้าตาแบบแขกโดนให้กลับในวันนั้นเหมือนผม ผมจึงพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่พาผมมา
ผม : ถามหน่อยได้ไหมครับว่า ที่ผมไม่สามารถเข้าในเมืองคาลินินกราดได้ เพราะว่าผมมีเสื้อกันหนาวลายทหารใช่ไหม?
เจ้าหน้าที่ : ไม่ เพราะคุณตัวคนเดียว ไม่มีใครรู้จักเลย
ผม : โอเค

เมื่อเช็คอินกับสายการบินเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็พาผมและผู้ชายหน้าแขกอีกคน เข้าไปข้างในส่วนของผู้โดยสาย ก่อนที่จะเข้าไปมีผู้หญิงที่คาดว่าน่าจะเป็นแฟนของผู้ชายหน้าแขกเข้ามากอดลากัน ในใจผมในตอนนั้นก็คิดว่าผู้ชายหน้าแขกคนนั้นเขามีคนรู้จักอยู่ที่นี่นิ ทำไมถึงถูกส่งกลับละ …. ก็ได้แต่คิดนั่นแหละ ไม่ได้ถามออกไป 555 พอเข้ามาถึงพื้นที่ผู้โดยสารขาออกเพื่อรอขึ้นเครื่อง เจ้าหน้าที่ที่พาผมมาก็ยังไม่กลับออกไป เขารอจนผู้ชายหน้าแขกและผมขึ้นเครื่องเสร็จ ระหว่างนั่งอยู่ในเครื่องบินในใจก็คิดว่าหมดกันทริปมาเยือนติ่งรัสเซีย ได้แค่บินมาเยี่ยวที่สนามบิน แล้วก็บินกลับ 555 โชคดีที่ผมบินมาถึงนี่ตอนเที่ยงๆ และได้เที่ยวบินกลับช่วงเย็นๆ จึงได้กลับไปถึงมอสโกไม่ได้ดึกมาก พอมาถึงมอสโก ก็นั่งรถบัส Aeroexpress กลับไปโฮสเทล ที่ให้เพื่อนจองให้ ระหว่างนั่งรถก็ส่งข้อความคุยกับเพื่อนและขอบคุณแบบแทบจะกราบเลยละ ถ้าไม่ได้เพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกอย่าง อาเธอร์ ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว เพื่อนคนอื่นๆ ก็อยู่ไกลกันมาก ที่ผมชอบรัสเซียมากๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะผมมีมิตรภาพดีๆ ทั้งเพื่อนที่รู้จักกันมานานแล้ว และเพื่อนใหม่ หรือคนแปลกหน้าที่ได้เข้ามาช่วยเหลือผมนี่แหละ จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมมาเที่ยวรัสเซียครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ผมพูดได้เลยว่าคนรัสเซียใจดีและมีน้ำใจ ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว มากเลยนะถึงแม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร พอกลับมาถึงโฮสเทลผมก็เช็คอินแล้วก็อาบน้ำ แล้วก็นอน ด้วยความอ่อนล้า
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ไม่มีแผนอะไร ก็ได้แต่นั่งรถ Matro ชมเมืองมอสโก แวะเดินสวนสาธารณะต่างๆ ระหว่างทาง ซึ่งมอสโกเป็นเมืองหลวงที่มีพื้นที่สีเขียวมากที่สุดในโลก แล้วลองจินตนาการดูสิครับว่าการมาเที่ยวมอสโกช่วงใบไม้เปลี่ยนสี มันจะสวยงามขนาดไหน!! แต่โชคไม่ดีที่วันนี้ท้องฟ้าครึ้มๆ และมีฝนตกในช่วงบ่ายๆ จึงถ่ายรูปมาไม่สวยเท่าไร
นอนชิลๆ บ้าง แบบเผลอๆ

เที่ยวจนมืดค่ำก็แวะไปที่จัตุรัสแดงอีกรอบเพื่อไปดูบรรยากาศช่วงกลางคืน ก่อนกลับโฮสเทล

พอกลับถึงโฮสเทลแล้วก็นั่งคิดว่าจะไปเที่ยวไหนได้บ้างนอกจากภายในเมืองมอสโกอย่างเดียว ก็นั่งดูข้อมูลไปเรื่อยๆ แต่ใจหนึ่งก็คืออยากหาที่เที่ยวใกล้ๆมอสโก แบบเช้าไปเย็นกลับได้ ไม่ต้องไปค้างคืน การมารัสเซียในครั้งนี้ทำผมหลอนไปเลย ถ้าผมไปเที่ยวเมืองอื่นๆที่ไกลออกไปต้องพักค้างคืน พอไปถึงแล้วไม่สามารถเช็คอินเข้าที่พักได้ ผมจะทำยังไง? จะนอนที่ไหน? มันคิดเยอะไปหมด ก็เลยหาที่เที่ยวแบบเช้าไป-เย็นกลับได้ จึงคิดถึง “The Golden Ring” เมืองท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ที่ไม่ห่างจากมอสโกมาก ซึ่งเมื่อครั้งที่ผมมาเที่ยวรัสเซียรอบที่แล้วผมได้ไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ คือ Suzdal, Vladimir และ Sergiev Posad และรอบนี้เมืองที่มีความเป็นไปได้ที่สุดในการเที่ยวแบบเช้าไป-เย็นกลับ คือเมืองเปเรสลาฟ-ซาเลสสกี (Pereslavl-Zalessky) เป็นเมืองในแคว้นยาโรสลาฟล์ เดิมชื่อเปเรยาสลาฟ-ซาเลสสกี หรือเรียกง่ายๆ ว่าเปเรยาสลาฟล์ ตั้งอยู่บนถนนสายหลักมอสโก-ยาโรสลัฟล์ และบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบเปลชเชเยโว ที่ปากแม่น้ำทรูเบซ (ข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย) เป็นเมืองบ้านเกิดของอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี้ และเป็นจุดตั้งต้นของการสร้างกองทัพเรือรัสเซียนั่นเอง ผมจึงหาข้อมูลว่าจะเดินทางไปยังเมืองนี้ได้อย่างไรบ้าง ก็พบว่าไม่มีเส้นทางรถไฟไปยังเมืองนี้ แต่สามารถเดินทางโดยรถบัส ซึ่งมี 2 วิธีด้วยกันคือ นั่งรถบัสตรงไปยังเมืองนี้ หรือนั่งรถบัสที่ผ่านไปที่เมือง Sergiev Posad ก่อน แล้วไปยังเมืองนี้ต่อ ผมเลือกที่นั่งรถบัสตรงไปยังเมืองนี้เลยจะได้ไม่เสียเวลา หลังจากน้นก็หาข้อมูลว่าจะต้องไปซื้อตั๋วรถบัสที่สถานีรถบัส (Schelkovsky bus station) ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานี Schyolkovskaya (Metro สายสีน้ำเงิน หมายเลข 3) ซึ่งเป็นสถานีสุดท้ายของสายสีน้ำเงิน
ตัดภาพมาวันรุ่งขึ้นผมนั่ง Metro สายสีน้ำเงินมาสุดสายที่ สถานี Schyolkovskaya แล้วก็เดินตามป้ายทางออกที่บอกว่าไป Schelkovsky bus station จำไม่ได้ว่าออกมาทางประตูไหน พอออกมาจากสถานี Metro ก็จะเจอห้างสรรพสินค้าอยู่ทางขวามือ ผมก็เดินไปทางขวามือเลาะด้านข้างของห้างสรรพสินค้าไปเกือบสุดตึกก็จะเจอที่ขายตั๋วรถบัส เข้าไปยืนงงอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไปต่อคิวที่ช่องซื้อตั๋ว พนักงานก็งง แล้วก็ได้ตั๋วมาค่าเสียหาย 590 รูเบิล
แล้วก็ขึ้นลิฟท์ ไปชั้น 4 พอใกล้ถึงเวลาก็ออกไปขึ้นรถที่ช่องหมายเลข 6 รถก็จะเป็นรถแวน หรือรถตู้บ้านเรานี่แหละครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง

เกือบเที่ยงก็มาถึงสถานีปลายทาง หมอกฟุ้งยังกับ Silent Hill อุณหภูมิประมาณ 5 องศาเซลเซียส

ผมยืนงงอยู่พักหนึ่งก่อนจะไปถามสาวแถวนั้นว่าจะนั่งรถเมลล์สายอะไรเข้าไปในตัวเมือง ได้ความว่าให้ขึ้นรถเมลล์หมายเลข 6 ผมก็ไปยืนรอรถเมลล์อยู่ตรงด้านหน้าทางเข้า แล้วก็เห็นรถเมลล์ขับเข้ามาจอดป้ายด้านหน้าทางซ้ายมือเลยไปอีกนิดหนึ่ง พอรถหมายเลข 6 มาก็ขึ้นไปแล้วก็ยื่นข้อความจากมือถือที่ใช้ google translate ให้คนขับดูว่าจะไปที่โบสถ์ “Simeonovskaya Church” ตามลายแทงท่ได้มาจาก Google ทางลุงคนขับก็งงแล้วก็ตะโกนถามผู้โดยสารคนอื่นๆที่อยู่ในรถ ผมก็ยื่นข้อความในโทรศัพท์ไปให้ท่านอื่นๆดู สรุปว่าขึ้นรถถูกแล้ว ระหว่างเดินทางก็ใช้ Google translate คุยกับคุณป้าที่นั่งข้างๆ ที่ช่วยบอกทาง เพราะคนรัสเซียส่วนใหญ่จะไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษกัน พอถึงจุดหมายคุณป้าก็บอกว่าถึงแล้วให้ลงตรงนี้ ก่อนลงก็บอกขอบคุณและขอถ่ายรูปคุณป้าไว้สักหน่อย

ความจริงการเดินทางเข้าเมืองหรือจะไปตรงจุดไหนสามารถบอกรถแท๊กซี่ที่จอดรออยู่ด้านหน้าสถานีได้นะ แต่ผมอยากใช้บริการรถเมล์มากกว่าเพื่อเป็นประสบการณ์ ค่าโดยสารเท่าไหร่จำไม่ได้เพราะเอาเหรียญที่มีอยู่เต็มกำมือส่งให้คนขับหยิบเอาเอง 555 น่าจะประมาณ 10-15 รูเบิล นี่แหละ พอลงตรงป้ายรถเมล์ก็ถึงบางอ้อว่าทำไมตอนแรกคนขับไม่รู้จักโบสถ์นี้ เพราะเป็นโบสถ์ร้างอยู่ติดๆกับป้ายรถเมล์

พอดีเห็นที่ป้ายรถเมล์มีแผนที่เมืองให้ด้วย กะว่าจะเดินเที่ยวชมเมืองนี้สัก 3-4 โมงเย็นก็จะกลับมาที่สถานีขนส่งแล้วละเพราะไม่ได้เช็คตารางเวลาเดินรถมาด้วยว่าจะมีรถกลับมอสโกเที่ยวกี่โมงบ้าง
พอเห็นแผนที่ตรงป้ายรถเมล์เป้าหมายแรกคือเดินไปที่ “PLESCHEEVO LAKE” ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก อยากเห็นทะเลสาบที่รัสเซียว่าจะเป็นยังไงบ้าง ดูจากแผนที่ตรงป้ายรถเมล์ก็มีสายรถเมล์วิ่งไปตรงทะเลสาบนะ แต่ผมเลือกที่จะเดินไปเพราะจะได้เก็บบรรยากาศระหว่างทางเดินไปด้วย บ้านเมืองค่อนข้างเงียบเหงาพอสมควร ข้างทางเดินมีร้านค้า ที่พัก ถูกทิ้งปิดร้างเป็นจำนวนมาก เดินไปเดินมาเหมือนผมจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างถิ่นเพียงคนเดียวในเมืองนี้ 555 เดินมาสักพักก็มาถึงทะเลสาบ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ มีคนแวะเวียนมาเดินเที่ยวชมอยู่บ้างประปราย อาจจะเป็นเพราะอุณหภูมิยังค่อนข้างหนาวอยู่และท้องฟ้าที่ไม่ได้เปิดมากนัก ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีเหลืองเตรียมผลัดใบรอรับฤดูหนาที่จะมาถึงในไม่ช้านี้ ผมเดินเก็บภาพบรรยากาศรอบๆนั้น อยู่นานพอสมควร

บ่ายโมงนิดๆ บรรยากาศก็ยังเงียบสงบ เหมือนยามเช้า ท้องฟ้ายังไม่ค่อยเปิด

เปลี่ยนมุมบ้าง มุมนี้สวยดี

มุมนี้ก็โคตรดี พี่มารอน้องอยู่ที่ท่าน้ำ

ผมเดินดูบรรยากาศเรื่อยๆ เพื่อไปยังโบสถ์แถวๆนั้น บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบๆ ฟ้าก็ค่อยๆเปิด

ชาวบ้านมานั่งตกปลากันแถวริมน้ำ

เห็นโบสถ์แล้ว มุมนี้สวยมาก น้ำนิ่งสงบมาก

มาถึงรอบๆโบสถ์ ก็มีชาวบ้านยืนตกปลาอยู่

เดินชมบรรยากาศรอบๆโบสถ์จากข้างนอก ไม่ได้เข้าไปข้างใน

มาชมโบสถ์ที่ 2

อีกมุมหนึ่งจากภายนอก ท้องฟ้าเริ่มสดใส เมื่อใกล้เวลากลับ

ผมเดินเที่ยวโบสถ์ 2-3 โบสถ์ ก็เห็นว่าน่าจะได้เวลากลับไปยังสถานีขนส่งได้แล้วเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีรถกลับเข้าเมืองมอสโกตอนกี่โมงบ้าง ตอนมาก็ลืมถามเรื่องตารางเวลาเดินรถ ระหว่างทางเดินกลับเพื่อไปยังป้ายรถเมล์ ก็เดินดูบรรยากาศระหว่างทาง ท้องฟ้าสดใสดีจังไม่เหมือนตอนมาเลย 555

โบสถ์สีสันสดใส

ตึกอาคารพาณิชย์สวยงาม ท้องฟ้าเปิดสวยงามเชียว เสียดายที่ไม่ได้นอนค้างที่เมืองนี้สักคืน
พอมาถึงสถานีขนส่ง ก็ติดต่อซื้อตั๋วกลับมอสโก จ่ายค่าเสียหายไปเท่ากับราคาตอนขามา 590 รูเบิล

ดูเวลาแล้วก็พอจะมีเวลาแวะกลับไปยังโบสถ์ใกล้ๆแถวนั้นได้อยู่ ก็เลยเดินย้อนกลับไป

อีกมุมหนึ่ง แสงสีสวยงามมาก

พอใกล้ถึงเวลารถออก ผมก็รีบเดินกลับไปที่สถานีขนส่ง เพื่อขึ้นรถกลับมอสโก พอมาถึงมอสโกก็ไม่ค่ำมากนัก แต่ก็เดินจนเมื่อยขามากแล้วสำหรับวันนี้ก็เลยกลับมาพักผ่อนที่โฮสเทล เช้าวันรุ่งขึ้น ไม่ได้ไปไหนไกล ก็เที่ยวๆ ในมอสโกเรื่อยเปื่อย ท้องฟ้าก็ครึ้มๆ ขอตัดภาพมาวันถัดมาเลยละกัน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนกลับไทย วันนี้นัดเจอกับเพื่อนเก่า Asya และเจ้าเด็กน้อย ซึ่งไม่ได้เจอกันนานเลยตั้งแต่ปี 2018 เจ้าเด็กน้อยคงโตเป็นเจ้าตัวแสบแล้วละ Asya ก็บอกเส้นทางนั่งรถไฟไปหาเธอที่สถานี Fabrichnaya เส้นทางหมายเลข B3 ซึ่งต้องต่อหลายสายหน่อยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง

มาถึงสถานี Fabrichnaya ก็ประมาณ 10.00 น. Dima สามีของ Asya มารับที่สถานี แล้วก็พาเดินมาที่อพาร์ทเม้นท์ก่อน ได้นั่งคุย ดื่มน้ำชากันก่อนที่จะขับรถไปยังเมือง Kolomna ซึ่งเป็นนครประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ในแคว้นมอสโก ประเทศรัสเซีย ตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำมอสควาและแม่น้ำโอคาไหลบรรจบกัน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโกราว 114 กม. (ข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย) เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมใกล้กับกรุงมอสโก ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 1.30 นาที ซึ่ง Dima รับหน้าที่เป็นคนขับ ระหว่างทางก็ได้เห็นเครื่องบินรบของรัสเซียที่ทางการทหารได้นำออกมาซ้อมบิน Dima แวะจอดข้างทางให้ผมดูแล้วก็บอกว่าผมมารัสเซียคราวนี้โชคดีนะได้เห็นเครื่องบินซ้อมรบด้วย เขาไม่ได้เห็นมาสัก 2 ปีแล้วเห็นจะได้ ผมถ่ายวีดีโอไว้แต่ลืมซูมใกล้ๆ ก็เลยเห็นจากมุมไกลๆ เครื่องบินบินวนแล้วก็บินขึ้นลงตามแนวดิ่ง

แล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ สักพักหนึ่งก็มาถึงเมือง Kolomna ก็วนหาที่จอดรถ แล้ว Asya ก็พาผมไปต่อแถวซื้อชา กาแฟและขนมปังคาลาช (Kalach) ขนมปังขึ้นชื่อของเมืองนี้ ที่มีเฉพาะที่นี่เท่านั้น เป็นรูปทรงแปลกตาเหมือนเป็นหูหิ้ว ความจริงมีหลายรสชาติ แต่ผมเลือกที่จะลองรสออริจินัล เนื้อค่อนข้างแข็งและรสชาดออกเค็มๆไปสักหน่อยสำหรับผม แต่ทานกับชาหรือกาแฟก็คงดีแหละ

พอทานแล้วเราก็ออกไปเดินชมเมืองกัน ตรงนี้จะเป็นประตูด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ Kalachnaya บอกเล่าเกี่ยวกับสูตรการทำขนมปังคาลาชแบบโบราณ ส่วนด้านขวาของรูปจะเป็นร้านซื้อของฝาก พวกเราไม่ได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ข้างในซึ่งต้องจองคิวล่วงหน้า เป็นร้านที่ Asya พามาชิมเจ้าขนมปังคาลาชต้นตำหรับของเมืองนี้

อันนี้จะเป็น Monument to Cyril and Methodius รูปปั้น 2 พี่น้อง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นอักษรกลาโกลิติก (Glagolitic) ซึ่งเป็นอักษรตัวแรกที่ใช้เขียนอักษรสลาโวนิก (Slavonic) ของคริสตจักรเก่า

และเช่นเคยครับ มารัสเซียก็ต้องมาเยี่ยมชมโบสถ์ต่างๆ เริ่มกันที่ จัตุรัสมหาวิหาร ซึ่งเป็นจัตุรัสกลางของ Kolomna Kremlin ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องของ Grand Duke ในศตวรรษที่ 14 และล้อมรอบด้วยอาสนวิหารอัสสัมชัญ โบสถ์ Tikhvin และหอระฆังของอาราม Novo-Golutvinskaya Convent ตั้งแต่สมัยโบราณ
ภายในก็สวยงามอลังกาลงานสร้างตามแบบฉบับของโบสถ์รัสเซีย
ไหนๆมาแล้วก็ขอพรสักหน่อย

เดินเที่ยววนไป ก็จะเห็นสถาปัตยกรรมอาคารที่สวยงาม
มาต่อกันด้วยที่กำแพงป้อมปราการและหอคอยของ Kolomna Kremlin ด้านหน้ากำแพงจะเป็น Statue of Dmitriy Donskoi รูปปั้นของ Dmitry Ivanovich Donskoy ซึ่งเป็นทายาทของอีวานที่ 2 เป็นเจ้าชายแห่งมอสโกว์คนแรกที่ท้าทายอำนาจของมองโกลในรัสเซียอย่างเปิดเผย ซึ่งถือเป็นวีรบุรุษประจำชาติรัสเซียและบุคคลสำคัญในยุคกลางของรัสเซีย
ถ้าดูจากแผนผังแล้วกำแพงป้อมปราการและหอคอยจะมีทั้งหมด 17 แห่งและยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
มุมสวยงามอีกด้านหนึ่งจากภายในกำแพง

พอใกล้ถึงเวลาที่จะเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่ Asya จองไว้แล้ว พวกเราก็รีบเดินกันไปที่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งที่ประเทศรัสเซียจะมีพิพิธภัณฑ์อยู่เยอะมาก เฉพาะที่เมือง Kolomna ก็มีเกือบ 10 แล้ว ทาง Asya จองเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Kolomenskaya Pastila ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการชงชา และทำมาร์ชแมลโลว์ (Marshmallow) ขนมหวานชนิดหนึ่ง ไว้ทานกับน้ำชา ซึ่งชาวรัสเซียจะนิยมดื่มชากันมาก เนื่องจากวันนั้นมีผมที่เป็นนักท่องเที่ยวเพียงคนเดียวละมั้งเจ้าหน้าที่เลยบรรยายเป็นภาษารัสเซียให้ฟัง ผมก็ได้แต่ดูท่าทางประกอบ และได้ Asya พยายามแปลให้ฟังเป็นช่วงๆ และไม่ได้ถ่ายรูปข้างในสักเท่าไร
พอเสร็จกิจกรรมพาทัวร์ตามจุดต่างๆในพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ออกมาแวะซื้อของฝากสักเล็กน้อย ขนมมาร์ชแมลโลว์ของที่นี่จะทำแบบดั้งเดิมโดยใช้แอปเปิ้ลเป็นวัตถุดิบหลัก ไม่มีแป้งผสม รสชาติหวานๆเปรี้ยวๆ ก็อร่อยดีเหมือนกัน
ก่อนกลับพวกเราก็หาร้านอาหารแถวนั้นเพื่อทานมื้อเย็นกันก่อน อาหารหลักของชาวรัสเซียก็จะเป็นขนมปัง ทานกับซุป ผมสั่งซุปปลา

กับอีกจานหนึ่งจะเป็นเนื้อผัดที่เสริฟมาในจานขนมปัง จะบอกว่าขนมปังแข็งมากกกก

อ๋อก่อนอาหารจานหลักจะมาเสริฟ Asya ก็สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาชนแก้วกันสักหน่อยเรียกน้ำย่อย ทานกับขนมปังและแตงกวาดอง พอทานกันเรียบร้อยแล้วพวกเราก็ขับรถกลับ
Dima และ Asya ขับรถมาส่งผมที่สถานี Fabrichnaya ประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง และส่งผมขึ้นรถ ตอนแรกผมเข้าใจว่าจะต้องติดต่อซื้อตั๋วที่ช่องจำหน่ายตั๋วก่อน เพราะตอนขามาผมไปต่อคิวซื้อตั๋วสถานี Vykhino เส้นทางหมายเลข B3 ที่จะมายังสถานี Fabrichnaya ทาง Asya บอกว่าสามารถใช้บัตรเติมเงินที่ผมมีอยู่ได้เลย Dima ก็ช่วยเช็คให้ว่ามีเงินเหลืออยู่ในบัตรเพียงพอไหม แล้วทั้งคู่ก็ร่ำลาและส่งผมเข้าสถานี
รถไฟรัสเซียคันใหม่ๆ มีที่เสียบชาร์ตแบตให้ด้วย พร้อมหน้าจอบอกเส้นทางว่าตอนนี้ถึงสถานีไหนแล้ว
ผมกลับมาถึงโฮสเทลประมาณ 4 ทุ่ม ก็แวะซื้อขนมที่ร้านข้างโฮสเทลไปกินสักหน่อย การมารัสเซียในครั้งนี้ผมได้คนพบว่าขนม นม เนย พวกเบเกอรี่ โยเกิร์ต ของที่นี่อร่อยมากกกก ปกติผมไม่ค่อยชอบกินขนมพวกเบเกอรี่สักเท่าไร มารัสเซียคราวนี้ผมซื้อกินทุกวัน แต่ซื้อเฉพาะที่ร้านนี้นะ ยังไม่ได้ลองที่ร้านอื่น
ได้ถ่ายรูปไว้ไม่กี่อย่าง
อันนี้ออกเปรี้ยวๆหวานๆ

พอนั่งทานขนมเสร็จแล้วผมก็กลับห้องไปเก็บกระเป๋าเพื่อบินกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ ยังไม่ได้หาซื้อของฝากอะไรเลย กะว่าจะไปแวะหาซื้อในวันพรุ่งนี้ เพราะไม่ได้เร่งรีบอะไรมากเนื่องจากบินกลับตอน 16.50 น. ยังพอจะมีเวลาแวะเดินหาซื้อของฝากได้อยู่
ตัดภาพมาวันเดินทางกลับเลยดีกว่า วันนี้ผมเช็คเอ้าท์จากโฮสเทลเสร็จแล้ว อ๋อ ลืมบอกไปว่าทางโฮสเทล ได้ลงทะเบียนนักท่องเที่ยวต่างชาติและมอบให้กับผมแล้วละเมื่อวันก่อน ผมก็นั่งรถ Metro สายสีเขียวเข้ม (เส้นหมายเลข 2) เพื่อไปยังสถานี Khovrino เพื่อแวะซื้อของฝากจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆตรงนั้นก่อน เพราะราคาน่าจะถูกกว่าซื้อตามร้านในสนามบิน ก่อนขึ้นรถบัส Aeroexpress จากด้านบนสถานี Khovrino เพื่อไปยังสนามบิน SVO ราคาเท่ากับตอนขามาจากสนามบิน 350 RUB พอมาถึงสนามบินก็เช็คอิน ผ่านด่านตรวจคนขาออกเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ได้ขอดูเอกสารอะไรเพิ่มเติม ได้แต่ส่องหน้าพาสปอร์ต กับส่องหน้าผมสลับกันไปมา แล้วบอกให้ก้าวถอยหลังออกไป แล้วก็ส่องแล้วส่องอีก เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าหน้าเปลี่ยนไปเยอะ 5555 แล้วก็สะดุดกับชื่อผม (BUNDIT) เพราะมีความหมายในภาษารัสเซียว่าโจรหรือหัวขโมยอะไรประมาณนั้น 5555 แต่ก็ปล่อยกลับมายังประเทศโดยสวัสดิภาพ

จบแล้วครับทริปเที่ยวรัสเซียครั้งที่ 3 ของผมที่มาเที่ยวในช่วงที่รัสเซียมีปัญหากับยูเครนกันอยู่ ก็ได้ตื่นเต้นดีครับ ได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว ได้เจอเพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกและได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนใหม่คนนี้ไว้เยอะเลยทีเดียว ได้เจอหิมะแรกในชีวิตด้วย ได้เข้าไปเหยียบติ่งรัสเซีย เมืองคาลินินกราด (Kaliningard) แล้วก็โดนให้ซื้อตั๋วกลับออกมาภายในวันนั้นด้วย 555 ทั้งหมดนี้มันเป็นรสชาดการแบกเป้เที่ยวคนเดียวที่ทำให้ผมสนุกมากจริงๆ ไว้เจอกันใหม่นะรัสเซียสุดที่รักของผม