รัสเซียไม่ได้มีแค่ มอสโค กับ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นะ! แต่ยังมี “วงแหวนทองคำ” หรือ “The Golden Ring” เป็นวงแหวนของเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของมอสโคเมืองหลวงของรัสเซีย ก่อนหน้านี้เคยเป็นภูมิภาคที่เรียกว่า Zalesye เมืองโบราณเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ช่วยรักษาความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์รัสเซีย เมืองเหล่านี้ถูกเรียกว่า "พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง" และมีอนุสาวรีย์ที่เป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมรัสเซียในศตวรรษที่ 12 - 18 รวมทั้งเครมลิน อาราม มหาวิหาร และโบสถ์ เมืองเหล่านี้อยู่ในกลุ่มเมืองที่งดงามที่สุดในรัสเซีย ไม่มีรายชื่ออย่างเป็นทางการว่าเมืองใดเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนสีทอง ยกเว้นเมืองหลัก 8 แห่ง ได้แก่ Yaroslavl, Kostroma, Ivanovo, Suzdal, Vladimir, Sergiev Posad, Pereslavl-Zalessky และ Rostov Veliky
การไปเที่ยวรัสเซียในคราวนี้ เป็นครั้งที่ 2 ของผม เป็นการแบกเป้คนเดียวตะลุยเที่ยวรัสเซียอีกเช่นเคย และตั้งใจไว้ว่าจะออกไปเที่ยวยังกลุ่มเมืองแหวนทองคำแห่งรัสเซีย แต่ด้วยเวลามีแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น การไปเที่ยวให้ครบทั้ง 8 เมืองหลักนั้นเป็นการยากยิ่งนัก ผมจึงหาข้อมูลการเดินทาง เส้นทาง ระยะทาง จากข้อมูลในอินเตอร์เน็ต และสอบถามเพื่อนชาวรัสเซียเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ความจริงผมมีเป้าหมายอยู่ในใจแล้วละ ว่าอยากไปดูการใช้ชีวิตของชาวบ้านชาวเมืองในชนบทของรัสเซีย (หากสักวันหนึ่งที่ภาษารัสเซียผมใช้การได้นะครับ) แต่ตอนนี้ภาษารัสเซียผมยังใช้การไม่ได้ แต่ในกลุ่ม “The Golden Ring” ก็มีเมืองเล็กๆที่ผมตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่ามาคราวนี้จะต้องไปเยือนให้ได้ ก็คือ เมืองซุสดัล (Suzdal) เป็นเมืองยุโรปโบราณที่ยังคงสภาพเดิมไว้เกือบทั้งหมด อีกเมืองหนึ่งที่จะไปเยี่ยมเยียนก็คือ เมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) ซึ่งอดีตเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของรัสเซียมาก่อน และเป็นทางผ่านที่จะไปสู่เมือง เมืองซุสดัล (Suzdal) อยู่แล้ว ดังนั้นการแบกเป้ฉายเดี่ยวเที่ยวรัสเซียในครั้งนี้ นอกจากกรุงมอสโคแล้วผมก็ได้ไปเยี่ยมเยือนอีก 3 เมือง คือ Sergiev Posad, Vladimir และ Suzdal กับเวลาแค่ 8 วัน (13 ตุลาคม 61 – 20 ตุลาคม 61) ซึ่งใจจริงก็ยังแอบเสียดาย เพราะอยากไปเลาะตระเวนทุกเมืองหลักที่อยู่ในกลุ่ม “The Golden Ring” ของรัสเซียให้ครบถ้วน
ก่อนการเดินทางผมก็เช็คข้อมูลเรื่องสภาพอากาศพอสมควรทั้งการสอบถามเพื่อนชาวรัสเซียและข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเพื่อเช็คสภาพอากาศล่วงหน้า ได้ความว่าอุณหภูมิต่ำกว่า 10 C ประมาณ 2-9 C และมีฝนตกด้วยประมาณร้อยละ 50 เป็นช่วงที่ใบไม้กำลังจะเปลี่ยนสีเพื่อเข้าสู่ฤดูหนาวของรัสเซีย ผมก็จะตื่นเต้นมากๆ สำหรับการเตรียมตัว เรื่องเสื้อผ้ากันหนาว เพราะไม่เคยเจอสภาพอากาศต่ำกว่า 10 C และมีฝนตกด้วย ก็เลยไม่รู้ว่าเตรียมตัวถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ในใจก็คิดเอาไว้ว่าถ้ายังไงเสื้อผ้าที่เตรียมไปไม่สามารถต้านทานกับความหนาวแบบนี้ได้จะไปซื้อเสื้อผ้าที่รัสเซียเพิ่มเติม
ผมเลือกเดินทางกับสายการบิน Air Astana เช่นเคย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติของ Kazakhstan เป็นการบินต่อเครื่อง (ความคิดเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าการบินตรงมันแพงไปสำหรับเวลาแค่ 8 วัน มันไม่คุ้มกับค่าตั๋วเครื่องบิน) โดยขาไปจากกรุงเทพ จะไปต่อเครื่องที่ Almaty เพื่อไปยัง Moscow โดยเครื่องบินจะไปลงที่สนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโว (Sheremetyevo International Airport : SVO) ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลาง Moscow ประมาณ 35 กิโลเมตร สามารถเดินทางเข้าเมืองจากสนามบิน โดย Aeroexpress รถไฟฟ้าด่วนพิเศษ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที โดยจะออกจากสถานีสนามบินทุกๆ 30 นาที ค่าใช้จ่ายประมาณ 470 รูเบิล (ประมาณ 235 บาท) โดยเที่ยวแรกจากสนามบินจะเริ่มตั้งแต่เวลา 05.15 น. และเที่ยวสุดท้ายจากสนามบินเวลา 0.30 น. หรือใครจะเข้าเมืองโดยการเรียกรถแท็กซี่จากสนามบิน หรือผ่าน App. ต่างๆ ก็แล้วแต่จะสะดวก แต่ในครั้งนี้ผมเลือกที่จะจองรถรับส่งไว้ก่อนตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง เนื่องจากเที่ยวบินของผมไปถึงสนามบินประมาณ 21.00 น. ซึ่งค่อนข้างดึกแล้ว กว่าจะต่อคิวตรวจหนังสือเดินทาง รับกระเป๋า หาซิมการ์ดมือถือรัสเซีย ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 22.00 น. แล้วจะต้องไปผจญภัยในสถานี Metro รถไฟใต้ดิน อันน่าหวาดกลัวสำหรับชาวต่างชาติอย่างผมอีก เพื่อขวนขวายไปยังสถานีใกล้ที่พักที่ผมจองไว้แถวถนนอารบัต (Arbat Ulitsa) ถนนคนเดินชิคๆ เป็นถนนเส้นเก่าแก่เส้นหนึ่งของ Moscow แล้วจะต้องขวนขวายหาที่พักที่จองไว้แล้ว ซึ่งผมจะชอบพัก Hostel ที่พักเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในซอกหลืบของเมืองอีก จากการมารัสเซียเมื่อปีที่แล้วมันทำให้ผมประเมินได้ว่ากว่าผมจะเดินหาที่พักเจอคงไม่ต่ำกว่า 30 นาที แล้วลองจินตนาการตามนะครับว่า ชายหนุ่มตัวคนเดียว เพิ่งจะมาถึงต่างเมืองที่เขาไม่คุ้นเคย แบกเป้ ลากกระเป๋าเดินตระเวนหา Hostel ที่เขาจองไว้ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ในค่ำคืนที่เดือนมืดมิดและเหน็บหนาว กับบรรดาผู้คนที่มีใบหน้าบึ้งตึงเดินสวนไปมาและไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นจะสื่อสารกับชายหนุ่มได้เข้าใจหรือไม่ ….. นั่นแหละครับ ภาพเหล่านั้นติดอยู่ในหัวผมตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ผมจึงตัดสินใจจองรถไปก่อนจากเมืองไทย พอไปถึงสนามบิน ตรงทางออกก็จะมีคนมาชูป้ายชื่อเรา และพาเราไปส่งใกล้แหล่งที่พักให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้มีเวลาเดินหา Hostel ที่จองไว้ให้เจอโดยเร็วที่สุด หรือถ้าผมโชคดีคนขับรถที่มารับผมอาจจะพาผมมาจนถึงหน้าประตูก็เป็นได้ ผมจึงจัดการจองรถไว้ตั้งแต่อยู่เมืองไทยมีค่าเสียหายประมาณ 905.87 บาท และในคืนก่อนวันเดินทางผมก็ได้คุยกับเพื่อนที่รัสเซียแจ้งว่าอากาศไม่เย็นมากแค่ประมาณ 15 C ช่วงกลางวัน และใบไม้กำลังสีเหลืองอร่าม Oh! My God! ความหวังที่จะได้เจอ First Snow ของผมหมดกัน แต่ยังไงผมก็คงต้องหอบเสื้อหนาวตัวหนาที่ผมเตรียมไว้ขึ้นเครื่องไปด้วยอยู่ดี หนาแบบว่าใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กใบเดียวเต็มนะครับ 555
พอเครื่องบินลง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลากกระเป๋าใบเล็กๆ สะพายเป้ใบเล็กๆ และถุงหิ้วใบเล็กๆ มุ่งหน้าไปยังทางออกเดินผ่านด่านศุลกากรรัสเซียด้วยความมั่นใจว่าของเราเล็กทุกอย่าง น่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ แต่ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกผมเข้าไปแล้วถามว่า “Tourist?” ผมก็ตอบย้ำไปว่า “Yes,Tourist!” และเจ้าหน้าที่ก็ให้เอาสัมภาระเข้าเครื่อง Scan! และให้เปิดกระเป๋า ในหัวตอนนั้นก็คิดว่ายาวแน่คืนนี้ เพราะในกระเป๋าลากใบเล็กของผมมีสุราไทย นามว่า SangSom Rum ใช่ครับมันคือสุราแสงโสมที่คนไทยไม่ค่อยจะดื่มกัน (แต่มันมีชื่อเสียงในต่างแดน) จำนวน 3 ขวด (ขวด 1 ลิตร 2 ขวด และขวด 700 มิลลิลิตร จำนวน 1 ขวด) ยาดองเหล้าที่เขาเอาสมุนไพรต่างๆใส่ไปในขวดเหล้า จำนวน 1 ขวด และน้ำมันมะพร้าวขนาด 1,000 มิลลิลิตร จำนวน 1 ขวด รวมทั้งขนมอื่นๆอีกนิดหน่อย (ทุเรียนทอด มะม่วงกวน มะพร้าวกะทิ)
เจ้าหน้าที่ก็ให้แกะกล่องแสงโสมออกทุกกล่อง แล้วก็คุยกันเป็นภาษารัสเซีย ซึ่งผมฟังไม่ออกเลย เขาก็ไม่พูดอังกฤษ เราเลยจับขวดขึ้นชี้ตรง 1 L กับ 700 ML ใจจริงไม่ได้กลัวเจ้าแสงโสมหรอกครับ เพราะก่อนหิ้วมาก็เช็คกับพ่อของเพื่อนสนิทแล้วว่าจะหิ้วแอลกอฮอล์เข้ารัสเซียได้เท่าไหร่? จำกัดจำนวนไหม? เพราะที่ไทยหิ้วเข้าได้ไม่เกิน 1 ลิตร ซึ่งพ่อของเพื่อนสนิทก็บอกว่า ตอนมาประเทศไทยซื้อแสงโสมกลับไป 5-6 ขวด ผ่านด่านรัสเซียได้สะบายไม่มีอะไรเลย ผมก็เบาใจขึ้น แต่ก็ตอบไปว่าคุณเป็นรัสเซียแต่ผมเป็นนักท่องเที่ยวนิ 5555 แต่ที่หนักใจก็คือว่าจะอธิบายไอ้ขวดสมุนไพรดองเหล้ายังไงวะ คือฉลากบนขวดมีแต่ภาษาไทยนะครับ ก็เลยบอกไปว่า “Thai Herb, Souvenir!” ก็ปนๆกันไปทั้งอังกฤษและรัสเซีย5555 เจ้าหน้าที่ผู้ชายหยิบเอาน้ำผึ้งขวดเล็กๆที่แถมมาไว้ใส่กับสมุนไพรดองเหล้า แล้วเปิดออกมาดมๆ ผมเลยบอกไปว่า “Huney” เจ้าหน้าที่ผู้หญิงพูดเชิงถามเจ้าหน้าที่ผู้ชาย “Ok? Dangerous?” แล้วก็ตามมาด้วยภาษารัสเซียซึ่งผมฟังไม่ออกจึงได้แต่ยืนลุ้น และเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้ผมผ่านด่านออกมา ผมนี่โล่งเลยครับ รีบเก็บทุกอย่างยัดเข้ากระเป๋า พลางคิดในใจว่า ความสนุกในการผจญภัยในประเทศรัสเซียต้อนรับผมตั้งแต่ทางเข้าเลยเหรอ สนุกละงานนี้ 5555 แล้วก็ลากกระเป๋าไปยังทางออกเพื่อมองหาคนขับรถที่มายืนชูป้ายชื่อผมอยู่ที่ทางออก ซึ่งก็เจอในเวลาไม่นาน ผมจึงบอกคนขับรถว่าอยากได้ซิมการ์ดโทรศัพท์รัสเซีย เขาบอกว่าจะพาไปหาด้านนอก (เขาพูดอังกฤษได้นิดหน่อย) ระหว่างทางก็แวะดูหลายร้านแต่ร้านปิดแล้ว คนขับรถเลยบอกว่ามันดึกแล้วร้านส่วนใหญ่จะปิดกันแล้ว ในใจผมตอนนั้นก็กังวลขึ้นมาว่าหากไม่ได้ซิมการ์ดผมก็ไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ แล้วถ้าเกิดคนขับรถหาที่พักผมไม่เจอแล้วปล่อยให้ผมลงแถวๆนั้น แล้วผมจะเดินหาที่พักได้อย่างไร แล้วคนขับรถก็ขับรถพาผมเข้ามาในเมืองโดยที่เขาดูข้อมูลบางอย่างในมือถือ จนพาผมมาเจอร้านที่ขายซิมการ์ดร้านหนึ่งที่ยังไม่ปิด คนขับรถเลยรีบพาผมลงไปที่ร้านแล้วบอกว่าอยากได้ซิมการ์ดสำหรับนักท่องเที่ยว 10 วัน ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นหลัก พนักงานก็ดำเนินการให้ผมจนได้ซิมการ์ดมาสมใจ คิดค่าเสียหาย 600 รูเบิล (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 300 บาท) แบบใช้อินเตอร์เน็ตฟรีไม่อั้น ผมก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อย
คนขับรถพาผมมาจนถึง ถนนอารบัต (Arbat Ulitsa) ซึ่งเป็นแถบถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของมอสโค แต่ด้วยความที่มันเป็นถนนคนเดิน รถยนต์จึงวิ่งผ่าเข้าไปไม่ได้ รูปด้านล่างนี้เป็นประตูทางเดินเข้าออกด้านหน้าครับ (ถ้ากลางคืนค่อนข้างมีไฟแบบสลัวๆ ไม่สังเกตุให้ดีนี่ผมเดินเลยไปหลายรอบเลยละครับ)
คนขับรถจึงขับรถตามเส้นทางตาม Google Map ซึ่งอ้อมไปเข้าอีกด้านหนึ่งเป็นซอยเล็กๆ ที่รถสวนทางกันไม่ได้ รถก็ติดตั้งแต่ทางเข้าปากซอยเลยครับ มีรถคันหลังจ่อเข้ามาพอดีพร้อมบีบแตร คนขับรถก็คุยกันด้วยภาษารัสเซียประมาณสอบถามว่ามี Hostel อยู่แถวนี้ไหมอะไรประมาณนั้น สักพักคนขับรถก็บอกให้ผมลงตรงนั้นประมาณว่าคงต้องเดินหาแล้วละ ผมจึงหิ้วกระเป๋าลงจากรถ บอกให้ผมยืนรออยู่ตรงนี้ก่อน แล้วคนขับรถก็ถอยรถสู่ถนนใหญ่เพื่อหาที่จอดรถและจะมาช่วยผมเดินหาที่พัก จังหวะนั้นรถคันหลังที่บีบแตรก็ขับเข้ามาจะเข้าไปในซอย คนขับรถคันนั้นซึ่งเป็นผู้ชายลดกระจกลงแล้วถามผมว่าจะไปไหน? ผมจึงให้เขาดูรูปปากทางเข้า Hostel ที่ผมหาอยู่ คนขับรถคันนั้นก็บอกว่าเขารู้จักนะ อยู่ในซอยนี้ ไม่ไกลมาก พร้อมบอกผมว่าจะไปกับเขาไหมเขาจะไปส่ง? ในหัวผมตอนนั้นมีทั้งด้านบวกและด้านลบตีกันไปมา เพราะไม่แน่ใจว่าจะไปกับเขาดีไหม ซึ่งตอนนั้นก็ประมาณสี่ทุ่มกว่าแล้ว (เวลาไทยก็ประมาณ 01.00 น. กว่าๆแล้ว) พอดีว่าคนขับรถของผมจอดรถเสร็จก็เดินมาพอดีผมเลยบอกว่าชายคนนี้จะไปส่ง แล้วเขาสองคนก็คุยกันด้วยภาษารัสเซีย แล้วคนขับรถก็บอกให้ผมขึ้นรถไปกับชายคนนั้นเขาจะไปส่ง ในหัวผมตอนนั้นความคิดตีกันไปมา ว่าจะเอาไงดี ถ้าเดินหาเองคงใช้เวลาพอสมควร แล้วถ้าขึ้นไปนี่จะเจอกับอะไรบ้าง? ก็ไม่รู้ เพราะเรื่องราวของพวกมาเฟียรัสเซีย หรือพวกกรรโชคทรัพย์นักท่องเที่ยว ที่ได้อ่านมาจากในอินเตอร์เน็ตยังติดอยู่ในหัวผมตลอด แม่ว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 ที่มารัสเซียก็เถอะ (เรื่องราวดีๆที่นักท่องเที่ยวไทยได้รับความช่วยเหลือจากชาวรัสเซียก็มีนะจากที่ผมอ่านในอินเตอร์เน็ต) สุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งรถไปกับชายคนนั้น ในใจก็คิดว่าเอาวะ ถึงแม้มันจะตัวใหญ่กว่าเรา แต่เราก็พอจะเป็นมวยอยู่บ้าง!! 555 เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีเลยแหละครับ เราจึงคุยกันไป เขาขับรถไปในซอยเล็กๆซอยนั้นด้วยความทุลักทุเลยพอสมควรเพราะซอยแคบ มืด และมีรถจอดอยู่ตลอดข้างทาง ผมเลยถามเขาว่าแน่ใจเหรอว่าจะไปทางนี้ได้? เขาบอกว่าแน่ใจ ขับไปได้ไม่ถึง 20 เมตร เขาก็จอดรถ บอกให้ผมรออยู่ในรถก่อน เขามีธุระ แล้วผมก็นั่งรออยู่ในรถ มองออกไปที่เขานอกรถเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกับชายคนหนึ่งอยู่ ในหัวตอนนั้นก็คิดว่า เอาแล้วไง พามาให้พักพวกจัดการแน่เลย เอาวะ ยังไงก็พอเป็นมวยอยู่บ้าง 555 แล้วเขาก็กลับขึ้นรถ แล้วก็ขับรถเข้าไปข้างในซอยอีกสัก 20-30 เมตร ผ่านประตูเข้าไปยังเวิ้งตรงกลาง ผมมองไปที่ลานกว้าง ซึ่งค่อนข้างมืดสลัวๆ เห็นชายหนุ่ม หญิงสาววัยรุ่นหลายคนนั่งคุยกันอยู่ข้างกำแพง เขาบอกว่าถึงแล้ว แล้วเขาก็เดินไปคุยกับชายคนหนึ่งท่าทางดุๆหน่อย แล้วชายคนนั้นก็มองมาที่รถ ผมยังไม่ลงจากรถ แล้วชายคนขับก็เดินมาที่รถเปิดประตูออกพร้อมบอกว่าเราถึงแล้วคงต้องเดินหาแถวๆนี้ เขาบอกว่าเขาถามชายคนนั้นเห็นบอกว่ามี Hostel อยู่ที่นี่ ผมจึงหิ้วกระเป๋าลงจากรถ ชายคนนั้นถามชื่อ Hostel ว่าชื่ออะไร? ชื่อ Boxtel ไหม? ผมได้ยินชื่อนี้แล้วหัวโล่งขึ้นเลยละครับ ตอบไปว่าใช่ๆ ชายคนนั้นชี้ไปยังสุดขอบเวิ้งนั้นซึ่งเป็นเวิ้งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่คนขับรถก็พูดอะไรบางอย่างกับชายคนนั้นประมาณว่าให้พาไปหน่อย ผมจึงเดินลากกระเป๋าตามไป พอเห็นป้าย Hostel ที่โคตรล่วงใจเลยครับ จึงกล่าวขอบคุณเจ้าหนุ่มคนขับรถกับชายคนที่เดินพามาอย่างมากๆ
เจ้าหนุ่มคนขับรถก็ยังไม่ยอมจากไปบอกว่าจะพาไปจนกระทั่งผมเช็คอินเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว เจ้าหนุ่มเลยมายืนรอที่หน้าประตูทางเข้ากับผม กดกริ่งอยู่นานพอสมควร แต่ก็ยังไม่มีคนเปิดให้ Hostel จะอยู่ชั้น 3 เป็นอาคาร 3 ชั้น ชั้น 1 ชั้น 2 นี่จะเป็นคนละเจ้าของกัน เมื่อปีที่แล้วที่ผมเคยพักอีกที่หนึ่งชั้น 1 จะเป็นร้านค้า ชั้น 2 จะเป็นร้านคล้ายๆร้านอาหาร หรือบาร์ ชั้น 3 ถึงจะเป็น Hostel ซึ่งเป็นคนละเจ้าของกัน ผมยืนรออยู่หน้าประตูอยู่พักหนึ่ง ก็มีคนเปิดประตูออกมาเรา 2 คนจึงเข้าไปในอาคารได้ เดินลากกระเป๋าขึ้นไปชั้น 3 ก็เจอประตูด่านที่ 2 ก็เปิดไม่ได้เหมือนเดิมจึงต้องรอให้มีคนเปิดออกมา สักพักก็มีคนเปิดออกมา เราจึงได้เข้าไปเจอประตูด่านที่ 3 ซึ่งเป็นประตูเข้า Hostel เคาะแล้วก็ไม่มีคนเปิดให้ เจ้าหนุ่มเลยเอาโทรศัพท์มือถือกดเบอร์ของ Hostel ที่แปะไว้ด้านหน้า จึงได้ความว่าเจ้าหน้าที่ออกไปทำธุระด้านนอกอักสักพักหนึ่งถึงจะกลับ ไอ้เจ้าหนุ่มก็ยังไม่ยอมกลับบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนผมก่อนจนกว่าจะได้เข้าที่พัก ผมพูดคุยกับเจ้าหนุ่มคนขับรถไปพรางๆ ในเรื่องทั่วๆไป ได้ความว่าเขาอายุ 22 ปี ผมชมเขาว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้ดี เขาบอกว่าเคยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ออกมาแล้วเพราะต้องใช้เงินเยอะ ตอนนี้เขาทำงานหลายอย่าง เขายังไม่เคยมาเที่ยวประเทศไทยค่าใช้จ่ายมันแพง ผมว่ายินดีต้อนรับเสมอหากนายจะมาเที่ยวประเทศไทย เขาบอกว่าเดือนธันวาคมแฟนเขาจะไปเที่ยวประเทศไทย คุยกันพักใหญ่ๆเจ้าหน้าที่ Hostel ก็เข้ามา เราจึงได้เข้าไปใน Hostel เช็คอินเรียบร้อย เจ้าหนุ่มจึงขอตัวกลับ ก่อนกลับผมบอกว่าผมอยากตอบแทนเขาโดยการให้เงินสักนิดหน่อยที่คอยช่วยเหลือมากมายในคืนนี้ เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการเงินจากผม ผมจึงขอเขาถ่ายรูปด้วยเพื่อเก็บไว้เป็นเรื่องราวดีๆ คนดีๆที่ผมได้พบเจอในครั้งนี้ และถามว่าเขามี FB ไหม? มี Line ไหม? ซึ่งที่รัสเซียจะไม่ค่อยนิยมเล่นกัน เขาจึงไม่มี เขาถามผมว่ามี Viber ไหม? ซึ่งแน่นอนผมไม่มี ผมจึงให้เบอร์มือถือที่ไทยกับผมเขาไป วันที่อันแสนยาวนานในการเดินทางของผมจากประเทศไทยสู่รัสเซีย ก็จบลงด้วยดี ก็นั่งพักแจ้งข่าวคราวให้กับเพื่อนรัสเซียทราบว่าเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว เพิ่งจะได้ซิมการ์ดและอินเตอร์เนตใช้ มารัสเซียคราวนี้ รัสเซียบล็อค LINE จร้า เลยใช้การไม่ได้ เมื่อปีที่แล้วผมยังใช้ LINE ที่รัสเซียได้อยู่เลย
เช้าวันใหม่ เริ่มต้นวันใหม่กับภาพใบไม้เปลี่ยนสี กำแพงเก่าๆ ท้องฟ้าใสๆ อากาศดี ที่หน้าที่พักนี้แหละครับ (อ๋อ ลืมบอกไปว่าภาพทุกภาพของทริปนี้ บันทึกความประทับใจด้วยกล้องมือถือ Moto G6+ ราคาไม่ถึงหมื่น และโหมด Auto ล้วนๆ เพราะถ่ายโหมดอื่นไม่เป็นครับ 555 )
บรรยากาศตอนเช้าที่ถนนอารบัต (Arbat Ulitsa) ก็จะเงียบๆหน่อย จะครึกครื้นตอนเย็นๆค่ำๆ ผมถ่ายรูปนี้ตอนที่โผล่ออกมาจากปากรูทางเข้าที่พัก
วันนี้ผมมีนัดกับครอบครัวเพื่อนสนิท ซึ่งนัดหมายมารับผมไปที่บ้าน มีจัดปาร์ตี้เล็กๆ เป็นปาร์ตี้อาหารไทยต้อนรับผม ระหว่างรอเพื่อนสนิทมารับผมก็มีความสุขกับใบไม้เปลี่ยนสีและอุณหภูมิ 15 C ประมาณนี้
นั่งรถออกนอกเมืองมาเกือบชั่วโมงก็ถึงบ้านครอบครัวของเพื่อนสนิทครับ มาทันบรรยากาศที่พ่อกับแม่กำลังทำอาหารอยู่พอดีครับ พ่อทำต้มยำทะเล กับแกงกะทิ ซึ่งรสชาดอร่อยเลยแหละ แม่ทำขนมและอื่นๆอีกหลายอย่าง เลยคุยกับพ่อว่าคราวหน้าผมจะทำอาหารไทยให้ทานบ้าง ส่วนพ่อก็บอกว่าคราวหน้าพ่อจะทำรัสเซียให้ทาน นานๆเจอกันพร้อมหน้าก็ถ่ายรูปนิดนึง เพราะมาปีที่แล้วไม่ได้เจอลุงกับป้า
ผมขอว๊าปไปวันที่ไปเที่ยวเลยละกันนะครับ อิอิอิอิ การไปเที่ยวเมืองต่างๆ ในกลุ่ม “The Golden Ring” ของรัสเซีย สามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์ และทางรถไฟ แต่ในบางเมืองจะไม่มีรถไฟผ่าน จำเป็นจะต้องเดินทางโดยรถยนต์เท่านั้น แต่การเดินทางโดยรถยนต์จะมีข้อเสียก็คืออาจจะเจอรถติดได้ ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะไปทางรถไฟครับ ซึ่งในมอสโคจะมีสถานีรถไฟกระจายกันไป 9 สถานี ตามรูปนะครับ
ซึ่งจะแบ่งสายการเดินทางตามเส้นทางเช่นสายเหนือ สายใต้ หรือข้ามประเทศ เพราะฉะนั้นหากเราจะเดินทางไปเมืองไหนก็ต้องเช็คข้อมูลให้ชัดเจนครับว่าจะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีไหน ซึ่งในแต่ละสถานีก็จะมีทั้งรถไฟสายชานเมือง และรถไฟด่วนพิเศษ หากเป็นการเดินทางสายชานเมืองไม่ไกลมากสามารถไปซื้อตั๋วแล้วออกเดินทางได้เลยครับ แต่ถ้าเดินทางไปยังต่างเมืองที่ห่างไกลออกไปร้อยกว่ากิโลเมตรขึ้นไปผมแนะนำให้จองตั๋วไปก่อนล่วงหน้าครับ ซึ่งสามารถเข้าไปจองตั๋วรถไฟ หรือเช็คเส้นทางการเดินทางได้ที่เว็บไซต์ https://pass.rzd.ru/main-pass/public/en การเดินทางไปยังสถานีรถไฟต่างๆก็ง่ายมากด้วย Metro รถไฟใต้ดิน ที่มีโครงข่ายที่โยงใยไปทั่วมอสโค ครับราคา 55 RUB ต่อเที่ยว เหมาจ่ายรายคาเดียวทั้งใกล้-ไกล ซึ่งถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศไทย
ภายในสถานีรถไฟใต้ดินของรัสเซีย ที่ขึ้นชื่อว่ามีสถานีรถไฟใต้ดินที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ..... สวยปะละ ... ถ่ายรูปมาสถานีเดียว สถานีอื่นๆไม่ได้ถ่ายมาให้ดู
เมืองแรกในกลุ่ม “The Golden Ring” วงแหวนทองคำแห่งรัสเซียที่ผมไปเยือนคือเมืองเเซอกิเยฟ โพสาด (Sergiev Posad) หรือที่หลายคนรู้จักในนามเมืองซากอสค์ (Zagorsk) เมืองเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งของรัสเซีย เป็นเมืองที่ตั้งของมหาวิหารที่ได้รับยกย่องเป็นมรดกโลก (Unesco world heritage center) นั่นคือมหาวิหาร Trinity Lavra of St. Sergius ศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 และโบสถ์เก่าแก่อีกมากมาย สามารถเดินทางไป-กลับ จากมอสโคได้ไม่ไกลมากนักประมาณ 70 km. ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟชานเมืองโดยจะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานียาโรลาฟสกี้ (Yaroslavsky) สามารถซื้อตั๋วเดินทางโดยการกดออกจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ หรือที่เคาร์เตอร์ขายตั๋วก็ได้ครับ
ตั๋วรถไฟจะมีให้เลือกว่าจะเป็นตั๋วเที่ยวเดียว หรือไป-กลับ ผมเลือกแบบไป-กลับ เสียค่าเสียหายไป 352 RUB (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 176 บาท) ก็จะได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้ แล้วก็ใช้ตั๋วนี้แสกนผ่านเข้าไปยังด้านในสถานีรถไฟ สามารถขึ้นรถไฟขบวนไหนก็ได้ที่ไป Sergiev Posad ต้องเก็บตั๋วไว้ให้ดีนะครับเพราะต้องใช้ตอนขากลับด้วยครับ ในขบวนรถเราสามารถเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ครับ
นั่งชมวิวข้างทางมาแบบชิลๆเพลินๆไม่นานก็มาถึงเมือง Sergiev Posad อากาศค่อนข้างหนาวจนมือชาเลยครับ เลยต้องงัดเอาเสื้อแจ็คเกตบางๆในกระเป๋าเป้มาใส่ และเติมพลังงานซะหน่อยครับ น้ำดื่มที่รัสเซียจะมีแบบอัดก๊าซด้วยนะครับ ถ้าใครไม่ชอบก็ให้เลือกฝาสีฟ้าแบบนี้จะเป็นน้ำธรรมดาครับ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยัง มหาวิหาร Trinity Lavra of St. Sergius แต่พอไปถึงแล้วทัวร์จีนเยอะมากกกกกกกกกกกกกก ก็เลยขี้เกียจเข้าไปด้านในจึงเดินชมรอบนอก
เดินชมบรรยากาศรอบๆเมือง ชมใบไม้เปลี่ยนสี และบรรยากาศดีๆ เลยเก็บรูปมาฝากครับ ความจริงอยากจะเข้าไปชม Toy Museum ด้วย อยากไปดูตุ๊กตาแม่ลูกดกตั้งแต่อดีต ว่าหน้าตาเป็นยังไง เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน แต่ดันปิด!! คือปกติผมจะชอบเที่ยวแบบว่าตื่นขึ้นมาแล้วอยากไปไหนก็ไปเลย ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน ประมาณว่าให้ใจนำพา ผมก็เลยไม่ได้เช็คข้อมูลก่อนว่า Toy Museum เปิด-ปิด วันไหน
ไหนๆก็มาแถวนี้แล้วก็ขออีกสักรูป
ว๊าปมาเมืองที่สองในกลุ่ม “The Golden Ring” ของรัสเซีย ที่ผมไปเยือนคือ เมืองซุสดัล (Suzdal) อยู่ห่างจากมอสโค ประมาณ 220 กิโลเมตร เป็นเมืองยุโรปโบราณที่ยังคงสภาพเดิมไว้เกือบทั้งหมด ทั้งปราสาท หอคอย โบสถ์ บ้านเรือน ป้อมปราการ ทุกอย่างเหมือนกาลเวลาได้หยุดไว้ที่นี่ การไปเยือนเมืองซุสดัลประหนึ่งคุณได้เดินทางย้อนเวลาไปหลายศตวรรษเพื่อไปสัมผัสความงามของสถาปัตยกรรมรัสเซียโบราณและวิถีชีวิตเรียบง่าย เมืองๆ นี้ไม่มีตึกสูงระฟ้าหรือร้านอาหารฟรานส์ไชส์ทันสมัยยี่ห้อใดเลย มีแต่ร้านค้าแบบเก่า ตลาดสดแผงลอย รถม้าแบบเก่าที่ยังคงให้บริการในเขตต่างๆ รับรองได้ว่าใครที่ชอบเรื่องราวของยุโรปโบราณจะไม่ผิดหวังอย่างเด็ดขาดถ้าได้มาเยือนเมืองนี้ (ข้อมูลจาก skyscanner เขาได้กล่าวไว้แบบนี้) การเดินทางไปสู่เมืองซูดัสนั้นสามารถเดินทางโดยทางรถยนต์ เพราะไม่มีรถไฟสายใดผ่าน แต่ถ้าหากไม่อยากเสียอารมณ์กับรถติดบนท้องถนน แนะนำให้นั่งรถไฟไปที่เมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) แล้วต่อรถบัสประจำทางไปยังซุสดัล (Suzdal) อีกประมาณ 35 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ซึ่งผมเลือกเส้นทางนี้ โดยการจองรถไฟด่วนพิเศษล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ หน้าตาตั๋วก็จะประมาณนี้ครับปริ้นออกมาประมาณ A4 ด้านล่างจะมีบาร์โค้ดด้วย
ค่าเสียหายประมาณ 1,724 RUB (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 862 บาท) หากเป็นรถไฟด่วนพิเศษจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที แต่ถ้าหากเป็นรถไฟธรรมดาหรือรถชานเมืองจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง ซึ่งการนั่งรถไฟไปยังเมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) นั้นต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kursky Train Station ซึ่งอยู่ติดกับ Metro รถไฟใต้ดินสถานี Kurskaya (รถไฟใต้ดินที่มอสโคจะเริ่มวิ่งตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00 น. - 01.00 น.) ซึ่งที่สถานีรถไฟ Kursky จะมีทั้งรถชานเมือง รถธรรมดา (อยู่ชั้น 1) และรถไฟด่วนพิเศษ (อยู่ที่ชั้น 2) พอไปถึงก็ต้องไปเช็คตารางรถไฟว่าอยู่ชานชลาใด จะได้ขึ้นรถได้ถูก ซึ่งรถไฟขบวนที่ผมจองไว้ล่วงหน้าในตั๋วจะระบุขบวน 730 VLADIMIR ซึ่งพอเรามาดูบอร์ดให้ดูเลขขบวน 730 เป็นหลัก (อย่าสนใจตัวอักษรที่ต่อท้ายตัวเลข) ซึ่งจะเป็นขบวนที่วิ่งจาก Moscow - N.Novgorod ชานชลาที่ 7 นั่นหมายความว่ารถไฟจะจอดให้คนลงที่สถานี VLADIMIR ไม่กี่นาที เราจะต้องเตรียมพร้อมก่อนที่จะถึงสถานี
พอเข้าไปในสถานีรถบัสก็ไปถามหาที่ซื้อตั๋วเข้าสู่เมืองซุสดัล (Suzdal) ซึ่งสามารถซื้อที่ช่องไหนก็ได้
ได้ตั๋วมาหน้าตาแบบนี้ ค่าเสียหายประมาณ 98.50 RUB (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 บาท) รายละเอียดประมาณว่าขึ้นรถช่องที่ 10 เวลารถออกประมาณ 12.00 น. ที่นั่งเบอร์ 2
ผมจึงออกมารอขึ้นรถที่ชานชลาช่องที่ 10 ซึ่งรถบัสที่จะวิ่งเข้าเมืองซุสดัล (Suzdal) จะมีทุก 45 นาที ตั้งแต่เวลา 06.30 น. - 21.30 น.
รถใช้เวลาวิ่งประมาณ 40 นาที ก็ถึงสถานีรถบัสเมืองซุสดัล (Suzdal) ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 1.5 กิโลเมตร รถจะจอดที่สถานีไม่นานปล่อยให้คนลงแล้วก็จะวิ่งเข้าตัวเมือง โดยคิดค่าโดยสารเพิ่มประมาณ 18 RUB ผมก็ถึงตัวเมือง ก็เริ่มเดินสำรวจพร้อมหาที่พักที่จองล่วงหน้าไว้แล้ว ผมจะพักที่นี่ 1 คืน ท้องฟ้าเป็นใจมาก สดใสสวยงาม อากาศเย็นสบายๆ เงียบสงบ มีรถม้าวิ่งบริการนักท่องเที่ยวชมเมืองด้วยครับ
เป็นเมืองที่เงียบสงบจริงๆ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวจีน 5555 แต่ก็ยอมเพี่จีนเขาเถอะนะเขาไปทุกที่ทั่วโลก
พอเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วก็ออกมาเดินชมเมืองต่อ ตามสไตร์ผมคือชมรอบๆเมือง ชมข้างนอก ไม่ค่อยเสียเงินเข้าไปชมข้างใน 5555
เดินเที่ยวสำรวจเมืองจนพระอาทิตย์ตกดิน เมืองนี้เงียบสงบจริงๆ พอค่ำก็จะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำ เลยต้องกลับมาพักผ่อน เพื่อลุยต่อวันพรุ่งนี้กะว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อมาชมเมือง และชีวิตความเป็นไปของชาวเมืองตอนเช้าๆ เพราะวันนี้มาถึงก็เลยเที่ยงไปแล้ว
เช้าวันถัดมาผมตื่นตั้งแต่เช้า เก็บกระเป๋าเพื่อเตรียมเดินทางกลับไปยังเมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) แต่แผนในตอนเช้านี้อยากเดินชมเมืองในยามเช้าสักหน่อย พร้อมดูพระอาทิตย์ขึ้น ดูชีวิตชาวเมืองตอนเช้าๆ แล้วค่อยเดินไปยังสถานีรถบัสที่ห่างออกไปจากตัวเมือง 1.5 กิโลเมตร (สามารถนั่งรถจากตัวเมืองไปได้) บรรยากาศยามเช้าก็ช่างเงียบสงบ น่าจะถูกใจกับท่านที่ต้องการใช้ชีวิตแบบ Slow Life
เล่าถึงการข้ามถนนที่รัสเซียสักหน่อย หากตรงแยกถนนไม่มีไฟจราจร ก็จะมีทางข้ามสำหรับคนเดินข้ามแบบนี้ คนเดินข้ามก็ไม่ต้องสนใจรถที่วิ่งเลยครับ คนขับรถจะต้องระวังคนเดินข้ามเอง ซึ่งคนรัสเซียจะเคารพกฏจราจรมากๆ เมื่อเห็นเรายืนอยู่ตรงทางข้ามแบบนี้ (ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่เดินข้ามถนน) เขาก็จะจอดรถให้เราแล้วหันหน้ามาทางเรา ผมก็ต้องรีบเดินข้ามทุกทีด้วยความเกรงใจ 5555 แต่ผมก็คุยกับเพื่อนชาวรัสเซียว่าถ้าคุณมาเมืองไทย คุณจะมาเดินข้ามถนน (ตรงทางเดินข้าม) แบบนี้โดยไม่สนใจรถไม่ได้นะ คุณโดนรถชนแน่ๆ หรือไม่คนขับรถจะบีบแตรไล่ หรือตะโกนด่าคุณแน่ๆ 555
ว๊าปมาเมืองที่สามในกลุ่ม “The Golden Ring” ของรัสเซีย ที่ผมไปเยี่ยมเยือนนั่นก็คือเมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) เป็นเมืองทางผ่านกลับสู่เมืองมอสโค คือผมจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าไป-กลับ ไว้แล้วตั้งแต่ตอนจะเดินทางมายังเมืองซุสดัล (Suzdal) เพราะจะต้องมาต่อรถไฟกลับมอสโคที่เมืองนี้ เลยวางแผนไว้ว่าจะเดินทางออกจากเมืองซุสดัล ตั้งแต่เช้าเพื่อแวะชมเมืองนี้ก่อน ช่วงรอเวลารถไฟซึ่งผมจองไว้ช่วงประมาณ 22.10 น. เมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) เป็นอดีตเมืองหลวงเก่าของรัสเซียที่ตั้งขึ้นในปี 1108 โดยเจ้าชายวลาดิมีร์ โมโนแมกค์ กษัตริย์แห่งเคียฟ ผู้นำทางคริสต์ศาสนาเข้าสู่ระบบรัสเซียเป็นครั้งแรก เมืองวลาดิเมียร์ถือว่าเป็นประตูสู่โกลเด้นริง "The Golden Ring" และเป็นเขตมรดกทางวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมของรัสเซียยุคโบราณ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งไม่ไกลจากสถานีรถไฟและสถานีรถบัสมากนักสามารถเดินไปได้ หรือหากใครไม่ชอบเดินมากก็สามารถนั่งรถเมลล์ที่เวียนเข้ามาที่สถานีรถบัสก็ได้ แต่สำหรับผมเลือกที่จะเดินชมเมืองไปด้วยครับ วันนี้ท้องฟ้าไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ อากาศก็หนาวๆสบายๆสำหรับผมนะ แต่ต้องใส่เสื้อแจ็คเกต (ดีใจซื้อมาได้ใช้แล้ว 555 )
เจอคู่แม่ลูกชาวสิงค์โปร์ที่มาเที่ยวด้วยกันน่ารักเชียว ความจริงเจอคู่นี้ตั้งแต่ในรถบัสที่นั่งมาจากเมืองซุสดัลแล้วแหละ แต่ไม่ได้คุยกัน มาคุยกันที่เมืองนี้ 555 ก็เลยมีเพื่อนคุยเดินชมเมือง แต่ทั้งคู่ต้องกลับไปขึ้นรถไฟเวลาประมาณเที่ยง ก่อนกลับก็เลยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก เรามันเอเซียด้วยกัน ส่วนผมก็เดินชมเมืองรอเวลาอีกนานเลย 555
ใบไม้สีเหลืองทองสวยมากกก
เดินมาสักพักก็ถึงวิหารอัสสัมชัญ (Cathedral of the Assumption) สร้างขึ้นช่วงประมาณปี 1158 – 1160 เป็นวิหารโดมตั้งอยู่บนเสา 6 ต้น ภายในประดับประดาด้วยภาพวาดสี และงานปูนปั้น (ซึ่งผมไม่ได้เข้าไปดูอีกเช่นเคย 5555)
วิวระหว่างทาง
เดินยาวมาจนถึง Golden Gate เป็นสถาปัตยกรรมทางทหารที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยหินสีขาวช่วงประมาณปี 1158 – 1164 เป็นป้อมปราการเดียวที่เหลืออยู่ (จาก 5 ป้อม) ใช้ป้องกันการรุกรานจากข้าศึกมองโกล และตาร์ตา ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ และเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกเมืองโบราณ (และเป็นสถานที่เดียวที่ผมเสียเงินเข้าไปชมด้านในครับ 555) ก็จะจัดแสดงเกี่ยวกับทหาร เครื่องแบบ และอาวุธโบราณ
เดินกันเมื่อยขายเลยครับกว่าจะถึงเวลาขึ้นรถไฟ ผมว่าเมืองวลาดิเมียร์ (Vladimir) ก็เป็นเมืองหนึ่งที่เที่ยวแบบวันเดียวไม่ต้องค้างคืนก็ได้ครับ หรืออาจจะนอนค้างก็ได้ครับหากท่านต้องการไปเยี่ยมเยือนเมืองเล็กๆใกล้ๆกันด้วย ส่วนผมขอว๊าปกลับมอสโคก่อนละกันครับ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่มอสโค วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากเพราะตื่นเกือบเที่ยง 555 ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจาก 2 วันที่ผ่านมา วันนี้คงออกไปเที่ยวเมืองไกลๆไม่ทันแล้ว ก็เลยออกไปเดินเล่นชมมอสโคบ้าง อากาศก็สดใสเหมือนเดิม ใบไม้เริ่มจะเป็นสีเหลืองกรอบและร่วงลงแล้ว โชคดีของผมเพราะถ้าหากมาเที่ยวรัสเซียช้ากว่านี้สัก 1 อาทิตย์ คงจะร่วงหมดแล้ว ฝนฟ้าก็เป็นใจมากไม่ตกลงมาเลย ท้องฟ้าสดใส เลิฟฝุดๆ
วันนี้ก็เลยมาเดินหาของฝากจากรัสเซียบ้าง ไม่รู้จะซื้ออะไรฝากดี ก็เดินชมเมือง ชมร้านขายของฝากไปเรื่อยๆ เข้าร้านนี้ ออกร้านโน้น สอบถามเปรียบเทียบราคา จะบอกว่าซื้อไม่ลงเหมือนเดิมครับ 555 พวกตุ๊กตาแม่ลูกดกงานฝีมือสวยๆ อยากจะหิ้วมาใจจะขาด เพราะมีคนสั่งไว้ก่อนมาว่าอยากได้ตุ๊กตาแม่ลูกดกรัสเซียที่งานฝีมือสวยๆ เอามาตั้งโชว์ตกแต่งบ้าน แต่เห็นราคาแล้วได้แต่จับวาง จับวาง 555 ส่วนตุ๊กตาแม่ลูกดกรัสเซียราคาถูกๆ ก็ไม่สวย งานแบบเด็กวาดเล่น หรือไม่ก็งานจีน ที่พอจะซื้อได้ก็เป็นพวกกล่องดนตรีรูปปราสาท แต่ก็ไม่รู้จะยัดกระเป๋ามาได้ยังไง เพราะกระเป๋าใบเล็กมาก แม็คเนตติดตู้เย็นก็เยอะแล้ว
วันนี้ก็แวะไปที่ตลาดขายของฝาก Izmayloysky มีของที่ระลึกขายหลากหลาย คนขายหลายคนพูดได้หลายภาษา ภาษาไทยก็ได้ ภาษาจีนก็มี พอเขาถามผมว่ามาจากไหน ผมก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่ตอบ เพราะผมอยากคุยภาษาอังกฤษ หัดภาษาอังกฤษ! 555 ของที่ตลาดนี้ไม่ใช่จะถูกนะ ต้องต่อราคาดีๆ ผมใช้วิธีหยิบมาหลายๆอัน (ที่ต้องการจะซื้ออยู่แล้ว) แล้วต่อราคา ธรรมชาติขิงคนขายก็บอกว่าไม่ได้ ผมก็ยืนอ้อนวอนอยู่สักแป๊บ เมื่อคนขายไม่ยอม ผมก็วางของและเดินจาก คนขายเห็นก็จะเรียกผมกลับมาและให้ผมตามราคาที่ผมต่อรอง อิอิอิ .... ดีใจได้ไม่นานพอเดินไปสักพักลองถามร้านอื่นถึงกับช๊อคแป๊บหนึ่งเพราะราคาถูกกว่าที่ผมต่อมาได้อีก 555 วันนี้ก็เลยแวะไปเยี่ยมเธอคนนี้มาด้วย ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับตลาดขายของฝาก ปีที่แล้วถ่ายรูปคู่กับเธอมาด้วย
แต่แล้วก็พบความจริงว่า...เธอคนนี้นั้นมีลูกแล้ว 555 เธอเป็นร้านขายของฝากยอดนิยนจากรัสเซียนั่นเองครับ เช่นพวกตุ๊กตาแม่ลูกดกรัสเซีย หมวกรัสเซีย ผ้าคลุมไหล่ กล่องดนตรี แม๊กเนต
เดินหาของฝากจนจะมืดค่ำก็เลยแวะมาเที่ยวแถวจตุรัสแดงสักหน่อย เพราะเมื่อปีที่แล้วไม่ได้มาเดินแถวนี้ช่วงเวลากลางคืน ดูพระอาทิตย์ตกสวยดีนะ
จตุรัสแดงตอนกลางคืนก็จะประมาณนี้แหละ
ว๊าปมาวันสุดท้ายที่ไม่ท้ายสุดเลยละกัน วันนี้ก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวนอกเมืองเพราะมีนัดเจอเพื่อนชาวรัสเซีย ชื่อ Asya เธอจะหอบหิ้วเพื่อนตัวน้อยมาเจอด้วย ซึ่ง Asya อยู่เมืองรอบนอกมอสโค พอเจอกันเท่านั่นแหละผมพบว่าเธอหอบหิ้วเจ้าตัวเล็กใส่รถเข็นนั่งรถไฟมาเพื่อพบผม เลยบ่นกับเธอเล็กๆว่าทำไมไม่บอกผมว่ามากันแค่ 2 คน มันลำบากนะเจ้าตัวเล็กก็ยังเด็กมากๆ ถ้าผมรู้ว่าเธอมากับเจ้าตัวเล็กแค่ 2 คน ผมคงไม่ให้มา แต่เธอก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก อยากเจอผม นั่งรถไฟมาประมาณ 60 นาทีเอง ไม่ลำบากหรอก เจ้าตัวเล็กมองผมแบบงง เมื่อปีที่แล้วเจอกันตอนนั้นเล็กมากๆ อายุประมาณ 6 เดือนเอง เจอกันปีนี้อายุประมาณ 1.8 ปี วิ่งได้แล้ว
เดินคุยกับ Asya และเล่นกับเจ้าตัวเล็กอยู่พักใหญ่ๆ จนเจ้าตัวเล็กหิวก็เลย เดินหาร้านอาหารกัน ผมเลยได้โอกาศที่จะลิ้มลองอาหารรัสเซียแท้ๆ ความจริงอยากจะลองทาน สโตรกานอฟ (Stroganoff) เป็นสตูว์เนื้อ (มีซาวครีมรัสเซีย และเห็ดหลากหลายชนิดเป็นส่วนผสมหลัก) แต่ร้านนี้ดันไม่มีซะงั้น...เสียใจ....เลยเอา List รายการอาหารที่อยากลองทานมาให้ Asya สั่งให้ 555 ระหว่างรออาหารก็เล่นกับเจ้าตัวเล็ก ... น่ารักเน๊อะๆ
อาหารรัสเซียรสชาดจะค่อนข้างจืดกว่าอาหารไทยเยอะครับ จานแรกที่มาให้ลิ้มลองคือ โบร์ช (Borshch) ถือว่าเป็นซุปประจำชาติรัสเซียได้เลย สีแดงเข้มมาจากบีทรูท และผักอีกหลายชนิดแทรกด้วยเนื้อสัตว์ที่เคี่ยวจนนุ่ม เสิร์ฟพร้อมครีมขาวๆรสเปรี้ยวไว้เพิ่มรสชาด พร้อมผักสดและขนมปัง ปกติชาวรัสเซียจะทานซุปนี้ในวันที่อากาศหนาว
หน้าตาเต็มๆก็จะประมาณนี้แหละครับ รสชาดก็ถือว่าโอเคครับ บอกไม่ถูกว่ารสชาดเหมือนอาหารไทยจานใด กินแกล้มกับผักสด
จานถัดมาก็คือ เปลมินี่ (Pelmeni) หน้าตาคล้ายเกี๊ยว มีไส้หลายแบบ ทั้งเนื้อ เห็ด หรือผัก เสิร์ฟพร้อมครีมขาวๆรสเปรี้ยวไว้เพิ่มรสชาดอีกเช่นเคย
ข้างในจะเป็นใส้เนื้อ จังหวะนั้นคิดถึงน้ำจิ้มแบบไทยๆ มากครับ น่าจะเข้ากันดี
จานถัดมา อันนี้ของ Asya สั่งมา จำชื่อไม่ได้ 5555 ให้ผมลองชิมด้วย ใส้ข้างในจะเป็นมันบด ทานกับครีมขาวๆรสเปรี้ยวไว้เพิ่มรสชาดอีกเช่นเคย
คนรัสเซียจะนิยมทานน้ำชากันครับ อันนี้ Asya สั่งมาให้ทาน จำชื่อไม่ได้อีเช่นเคย แต่ชอบครับ ออกหวานๆเปรี้ยวๆของสตอเบอรี่
ทานอาหารจนอิ่ม เจ้าตัวน้อยซนพอสมควร เห็นว่าเวลาเย็นมาแล้วก็เลยบอก Asya ว่ากลับได้แล้วนะ เย็นมากแล้ว เดี๋ยวจะถึงบ้านมืดค่ำ จะลำบาก ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะเดินไปส่งที่สถานีรถไฟ ผมก็เดินคุยกันไป เจ้าตัวเล็กนอนหลับในรถเข็น พอมาถึงใกล้ๆสถานีรถไฟ Asya ก็ทำท่างง ลังเลนิดหน่อย ผมก็เลยบอกว่า ผมจะพาคุณไปเอง เชื่อผมสิผมเป็นคนไทย เพิ่งมาที่นี่เมื่อ 7 วันที่ผ่านมา! ผมรู้ว่าสถานีรถไฟอยู่ตรงนั้น 3 สถานี แต่ผมไม่แน่ใจว่าสถานีรถไฟสายของคุณอยู่สถานีไหน Asya หัวเราะ พร้อมบอกว่า โอเคฉันเชื่อคุณ เพราะคุณมาบ่อย เธอไม่ค่อยได้เข้ามาในเมืองโดยรถไฟตั้งแต่มีเจ้าตัวเล็ก เราเดินกันมาจนเข้าในสถานีรถไฟ มุ่งตรงไปที่ซื้อตั๋วรถไฟชานเมือง ซื้อตั๋วเสร็จก็มีเวลาอีกนิดหน่อยที่จะนั่งทานกาแฟและคุยกัน จนถึงเวลาที่ Asya จะต้องไปขึ้นรถไฟกลับ ผมเดินไปส่งถึงหน้าทางเข้าเพราะการเข้าไปข้างในเฉพาะคนที่มีตั๋วที่จะเดินทางเท่านั้น มองดู Asya เดินเข้าไปอย่างเป็นห่วง เข็นรถเข็นเด็กที่มีเจ้าตัวน้อยนอนหลับอยู่ การเข้าไปยังชานชลาค่อยข้างลำบากพอสมควรเพราะต้องเดินขึ้นลง มีทางเข็นรถเข็นแต่ทางค่อนข้างชัน สักพักก็มีคนมาช่วยเธออุ้นรถเข็นเดินขึ้นไป ผมมองอย่างโล่งใจ Asya มองมาที่ผม เห็นผมยืนมองลุ้นอยู่ เธอเลยยิ้มและโบกมือลา ผมจึงเดินจากมา .... อั๊ยย๊ะ! ยังกับฉากในละคร 555
ก็จบลงไปแล้วครับทริป แบกเป้ฉายเดี่ยว...ตะลุยเที่ยวโกลเด้นริง (The Golden Ring) วงแหวนทองคำแห่งรัสเซีย ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เหมือนโม้หน่อยๆ เพราะได้เที่ยวแค่ 3 เมืองเอง 5555 แต่ก็ได้ภาพช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เป็นสีเหลืองทองมาชดเชยก็เล้วกันนะ (ยังงี้ก็ได้เหรอ!!) คราวหน้าหากมีเวลาตั้งใจว่าจะไปเก็บเมืองที่เหลือให้ครบแล้วจะเอารูปสวยๆ เรื่องเล่าเร้าใจ ตื่นเต้นๆของผมมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอีกแน่นอนครับ รัสเซียสำหรับผมมันเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ก็ว่าได้ ไปกี่ครั้งก็จะรู้สึกอบอุ่นทุกที รวมทั้งตื่นเต้น และประทับใจ กับน้ำใจของชาวรัสเซียที่ได้พบเจอระหว่างทาง .... รักนะ ... รัสเซีย